
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณามัย สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร กล่าวว่า กมธ.พบข้อพิรุธการเสนอร่างร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ฉบับนี้ คือ มีความเร่งรีบผิดปกติในการผลักดันกฎหมายเข้าสภาฯ แม้จะมีข่าวจะเลื่อนร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 3 ก.ค. แต่ทางที่ดีควรถอนออกไปเลย หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลค่อยเสนอร่างกฎหมายตัวนี้กลับเข้าอยู่ในนโยบายรัฐบาลอีกครั้ง
อีกทั้งกฎหมายนี้ออกแบบให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจล้นฟ้า ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มีอำนาจอนุมัติทุกขั้นตอน ทั้งจำนวนเงิน สถานที่ตั้ง ค่าธรรมเนียม ขัดกับหลักการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ และให้ยกเว้นกฎหมายสำคัญเช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายผังเมือง กฎหมายการมีส่วนร่วม ที่เป็นกลไกหลักตรวจสอบสิทธิมนุษยชนและชุมชน รวมทั้งไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อการจัดตั้งสถานที่
ทั้งนี้ กมธ.มองว่ารัฐบาลไม่ทำตามขั้นตอนการเสนอกฎหมาย คือ ไม่รับฟังความคิดเห็น สร้างความเข้าใจกับประชาชน การกำหนดพื้นที่เพื่อศึกษาผลกระทบในทุกมิติ การไม่พิจารณากฎหมายระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโน แต่กลับไปเขียนร่างกฎหมายก่อน ถือเป็นการเร่งรีบ
ส่วนที่รัฐบาลอ้างว่า ได้ทำประชาพิจารณ์สอบถามความเห็นประชาชนแล้ว พบว่า มีคนเห็นด้วย 80% นั้น การทำประชาพิจารณ์กับประชามติเป็นคนละเรื่องกัน การทำประชาพิจารณ์ไม่สามารถกำหนดเป็นตัวเลขได้ ดังนั้นตัวเลขดังกล่าว รัฐบาลกำลังทำให้ประชาชนเข้าใจผิด โดยกมธ.จะนำข้อเสนอ ข้อสังเกต และข้อพิรุธต่าง ๆ เสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาในวันที่ 7 ก.ค.นี้ ทันทีที่เปิดประชุมสภาฯ รอบใหม่
ส่วนที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ระบุว่า ยังไม่มีการกำหนดสถานที่ตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้น นพ.วีระพันธ์ กล่าวว่า ข้อมูลจากเอกชนไม่ตรงกับที่รัฐบาลนำเสนอ โดยเอกชนที่มีแนวโน้มจะมาลงทุนธุรกิจนี้ ต่างทราบแล้วว่าจะมีสถานที่ตั้งอยู่กทม. 2 แห่ง เชียงใหม่ 2 แห่ง พัทยา 1 แห่ง ภูเก็ต 1 แห่ง มีการเก็บภาษี 17% ต้องรอดูจะเป็นจริงตามนี้หรือไม่
“ถ้าเก็บภาษี 17% ถือว่าน้อยมาก ทำให้เราไปอยู่ในกลุ่มกัมพูชา ฟิลิปปินส์ ที่เก็บภาษีน้อย เพราะประเทศที่เจริญแล้ว อย่างมาเก๊า และญี่ปุ่นเก็บภาษี 35-40% ซึ่งเอกชนประเมินไว้แล้ว หากมีคนไทยมาเล่นน้อยกว่า 50% ก็ไม่คุ้มที่จะลงทุน ตัวเลขเหล่านี้เอกชนได้อย่างไร ถ้าไม่ได้มาจากคนกำหนดนโยบาย” นพ.วีระพันธ์ ระบุ
ขณะที่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จากที่ กมธ.ศึกษาและเชิญบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ยังพบข้อสังเกต ข้อพิรุธมากมาย หากเดินหน้าเสนอกฎหมายดังกล่าว จะเป็นอันตรายต่อประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าหากมีการเสนอร่างกฎหมายนี้ อาจมีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวผิดรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา ได้แก่ มาตรา 3 วรรค 2 มาตรา 58 มาตรา 63 มาตรา 65
ในแง่กฎหมาย กมธ.มีการเสนอหลายครั้งว่า หากจะเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ จะต้องใช้คำว่า “กาสิโน” ลงไปด้วยให้ชัดเจน หากไม่มีอาจผิดเชิงนโยบาย เพราะการแถลงนโยบายของรัฐบาล บอกแค่จะเป็นสถานบันเทิงครบวงจร ไม่มีกาสิโน และคำว่ากาสิโนเกิดขึ้นภายหลัง อาจเข้าข่ายผิดยุทธศาสตร์ชาติด้วย
- ด้านเศรษฐกิจ ได้เชิญสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาให้ข้อมูลยืนยัน การมีกาสิโนไม่ช่วยให้จีดีพีประเทศเพิ่มขึ้น ขณะนี้ธุรกิจการพนันเป็นขาลง แต่ประเทศไทยกำลังจะดำเนินการธุรกิจขาลง จะได้ไม่คุ้มเสีย รายได้ของธุรกิจกาสิโนตกอยู่ที่นายทุน ไม่ได้ตกกับรัฐ มีแนวโน้มเงินรั่วไหลออกไป
- ผลกระทบด้านสังคม ที่รัฐบาลระบุว่าการตั้งกาสิโนถูกกฎหมาย จะแก้ปัญหาการธุรกิจใต้ดินได้ แปลว่าคนไทยต้องเล่น แต่รัฐบาลอ้างว่า จะให้คนมีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท เข้าไปเล่นกาสิโนได้ แต่ประเทศไทย คนที่มีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท มีแค่ 10,000 คน และเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งหมื่นคนจะเข้าไปเล่นทั้งหมด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 68)