
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายเอมานูว์แอล มาครง (H.E. Mr. Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยสรุป สาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรี ยืนยันความตั้งใจที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สู่ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์โดยเร็ว พร้อมแสดงความยินดีหากประธานาธิบดีมาครง จะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในห้วงที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (Organisation Internationale de la Francophonie : OIF) ที่กัมพูชาในปีหน้า ซึ่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ รวมถึงเชิญเข้าร่วมการประชุม Paris Peace Forum ที่ฝรั่งเศส เช่นกัน
โดยทั้งสองฝ่ายมองว่า สถานการณ์ในปัจจุบันที่การเมือง และเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทำให้ต้องร่วมมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการค้าและ การลงทุน และทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นในความร่วมมือระหว่างกัน ที่วางอยู่บนกฎระเบียบระหว่างประเทศ ด้านฝรั่งเศสมุ่งหวังขยายความร่วมมือกับไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีอวกาศ
นายจิรายุ กล่าวว่า ผู้นำทั้งสอง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลก โดยไทยยืนยันจุดยืนรักษาสมดุลระหว่างประเทศมหาอำนาจ พร้อมสนับสนุนระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎระเบียบสากล
นอกจากนี้ ไทยแสดงความขอบคุณฝรั่งเศส ที่สนับสนุนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD และหวังว่าฝรั่งเศสจะสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรปต่อไป ซึ่งฝรั่งเศสยินดีสนับสนุนไทยในเรื่องนี้ และมุ่งหวังให้กระบวนการเข้าสู่ OECD ของไทยเป็นไปอย่างราบรื่น
ในมิติอาเซียน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับบทบาทศูนย์กลางของอาเซียน ในการรับมืออาชญากรรมข้ามชาติ และรัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ และยืนยันความพร้อมในการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน และหุ้นส่วนระหว่างประเทศอื่น ๆ รวมถึงฝรั่งเศสด้วย โดยฝรั่งเศสพร้อมสนับสนุนนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้
สำหรับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ประเทศไทยยึดมั่นในหลักการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ด้วยความสุจริตใจ บนพื้นฐานของความเป็นมิตรที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในอาเซียน และหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเห็นว่าการเจรจาในกรอบทวิภาคี คือ แนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหาทางออกที่สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ร่วมกัน
“นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำว่า ประเทศไทยยังคงสนับสนุนให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ซึ่งได้มีการประชุมที่กรุงพนมเปญ เดินหน้าทำงานต่อไปด้วยดี และหวังว่าฝรั่งเศส ในฐานะหุ้นส่วนระหว่างประเทศที่ใกล้ชิด จะมีบทบาทสนับสนุนบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ให้กลับมาดำเนินต่อไปด้วยดี”
ซึ่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส รับทราบเจตนารมณ์ของไทย และจะพิจารณานำไปประสานความร่วมมือกับกัมพูชาต่อไป
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสถานการณ์ในเมียนมา โดยนายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนสนับสนุนการหยุดยิง และการงดใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย
สำหรับเมียนมา ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ และการเมืองในเมียนมา และสนับสนุนบทบาทของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และความพยายามทั้งหมดภายใต้กรอบอาเซียน รวมถึงเน้นการเปิดพื้นที่สำหรับการหารือ และการมีส่วนร่วม ซึ่งนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าสันติภาพที่ยั่งยืน ต้องขับเคลื่อนโดยประชาชนเมียนมา และควรพิจารณาทุกทางเลือกที่นำไปสู่สันติภาพ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 68)