“เท้ง” รอฟังคำสั่งศาลคดีนายกฯ-นัดถกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก่อนเคาะยื่นซักฟอกรัฐบาลหรือไม่

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เตรียมหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งจะมี 2 นัดหมาย คือ 1. การประชุมวิปฝ่ายค้าน วันที่ 2 ก.ค. และ 2. การประชุมระหว่างหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน วันที่ 3 ก.ค. จึงขอให้รอติดตามรายละเอียดจากการหารือทั้ง 2 ส่วน

ส่วนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น เป็นหัวข้อที่ต้องคุยกันอยู่แล้ว ยังมีอีกหลายทางเลือกที่จะสามารถใช้กลไกของสภาฯ ในการตรวจสอบฝั่งรัฐบาล จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้เห็นต่าง หรือคัดค้านการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่จังหวะในการยื่น จะยื่นอย่างไรให้มีความแม่นยำมากที่สุด ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ต้องประเมินให้เห็นตรงกันระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเอง เนื่องจากวันที่ 1 ก.ค.นี้ ต้องรอฟังความชัดเจนเรื่องคดีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เพราะจะทำให้เกิดความไม่แน่นอน

“การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถทำได้ 1 ครั้งต่อ 1 ปีสมัยประชุม หากยื่นตั้งแต่ตอนนี้ เท่ากับว่าถ้าจะมีการยื่นอีกครั้ง ต้องไปรอในช่วงเดือนก.ค. ปีหน้า ” นายณัฐพงษ์ กล่าว พร้อมมองว่า การไม่รีบยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใด

ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 69 ที่จะเข้าสู่สภาฯ ช่วงเดือนส.ค.นั้น หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ร่างงบประมาณเป็นกฎหมายที่สำคัญ และกฎหมายทุกฉบับที่รัฐบาลจะผลักดันต่อจากนี้ มีโอกาสที่จะได้เห็นอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอด ตราบใดที่รัฐบาลยังมีเสียงปริ่มน้ำ

 

  • เตือนประชาชนอย่าตกเป็นเครื่องมือกระบวนการนอก รธน.

สำหรับข้อกังวลอาจเกิดรัฐประหารอีกครั้งนั้น นายณัฐพงษ์ เชื่อว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องโดยบริสุทธิ์ใจว่า อยากให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เพียงแต่วิธีการมีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการที่นายกรัฐมนตรีลาออกเอง การใช้นิติสงครามถอดถอน หรือนายกรัฐมนตรีจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ รวมถึงช่องทางที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตยอย่างการปฏิวัติรัฐประหาร

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นห่วง คือ อาจมีความพยายามของคนบางกลุ่ม ที่ฉวยสถานการณ์ในตอนนี้ไปเรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ หรือกระบวนการที่ไม่ได้เป็นไปตามประชาธิปไตย แน่นอนที่สุดว่าข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการของกลุ่มมวลชน ที่ไปชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือ เรื่องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล

“แกนนำผู้ชุมนุมหลายคน เราเห็นกันอยู่ว่าเป็นคนหน้าตาเดิม ๆ ที่เคยเรียกร้องการชุมนุมต่อต้าน และนำไปสู่การรัฐประหารในอดีต รวมถึงในการพูดบนเวที แม้จะไม่ได้มีการพูดอย่างชัดเจน ว่าจะเรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่า ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นเพียงการพูดเปิดช่องว่า หากจะมีการปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารเท่านั้นเอง

ดังนั้น จึงคิดว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ยังทำให้พวกเรามีข้อกังวลว่า การชุมนุมมีวัตถุประสงค์แอบแฝงโดยแกนนำอย่างหนึ่งอย่างได้หรือไม่ ทำให้อีกหนึ่งอย่างที่อยากสื่อสารไปถึงทุกคน คือ ไม่ว่าเราจะออกไปชุมนุมเรียกร้องช่องทางใด ๆ ให้นายกรัฐมนตรีลาออก เป็นสิทธิที่จะสามารถชุมนุมเรียกร้องได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ตัวเราเอง ถูกกลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้คนที่เรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ” นายณัฐพงษ์ ระบุ

ส่วนการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมือง จะกลายเป็นเข้าทางของฝ่ายกัมพูชาหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ มองว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ ในความไร้เสถียรภาพ ความไม่แน่นอน ระหว่างปัญหาไทยและกัมพูชา คือ ขาดความชัดเจน ไม่มีประสิทธิภาพ ในการสื่อสารของรัฐบาล เพราะในการเจรจาหลายครั้ง ฝ่ายกัมพูชามักจะออกมาสื่อสารก่อนไทยเสมอ นอกจากนี้ ยังอยู่ที่การวางบทบาทและวางตัวที่ไม่เหมาะสมของนายกรัฐมนตรี ดังจะเห็นได้จากคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น ประธานวุฒิสภากัมพูชา

 

  • ชี้กระแส “ลุงตู่” คัมแบค เพราะความนิยมนายกฯ ร่วง

สำหรับกรณีผลโพลล่าสุดที่ความนิยมของตนอยู่อันดับ 1 แต่นายกรัฐมนตรีลงไปอยู่อันดับ 5 นั้น หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณประชาชนทุกคนที่มอบความไว้วางใจให้กับตน และพรรคประชาชนมากยิ่งขึ้น แต่พรรคจะไม่ประมาท และยังเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้

“ต้องพูดตามข้อเท็จจริงว่า คะแนนความนิยมส่วนหนึ่งที่ตกลงไปของนายกรัฐมนตรี หรือการขาดความเชื่อมั่นต่อตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ย่อมส่งผลอีกด้านหนึ่งที่ทำให้คะแนนนิยม ไม่ใช่แค่ของผม แต่รวมไปถึงคะแนนนิยมของตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่น ที่อยู่ในโพลเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน” หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าว

พร้อมมองว่า ผลโพลยังมีขึ้นมีลงได้ตลอดกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งหน้า จึงเชื่อว่า ในระหว่างนี้จนถึงการเลือกตั้งใหญ่ การสื่อสารและการปฏิบัติตัวอยู่บนหลักการ รวมถึงการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นทางออกในการแก้ปัญหา และประโยชน์สูงสุดของประชาชน จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคต ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่า ผลโพลในวันนี้ จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคต

ส่วนกรณีที่ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาได้คะแนนความนิยมอีกครั้งตามผลโพล เป็นสิ่งสะท้อนสถานการณ์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นในขณะนี้หรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ ระบุว่า การสำรวจผลโพลก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งการที่มีชื่อกลับเข้ามาอยู่ในโพล เป็นเพราะสถานการณ์ในปัจจุบันที่คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีตกลงไป สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นของประชาชนส่วนหนึ่งที่ต้องการมีนายกรัฐมนตรีที่เข้มแข็ง มาจากฝ่ายทหาร ดังนั้นในสถานการณ์บ้านเมืองช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นบนหลักหลัก ปฏิเสธการปฏิวัติรัฐประหาร และไม่ควรเปิดช่องให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีก รวมถึงไม่ควรเปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีจากคนนอกเช่นกัน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 68)