
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีของภาคธนาคาร โดยระบุว่า ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ทั้ง 22 แห่งสามารถผ่านการทดสอบดังกล่าว เนื่องจากธนาคารเหล่าอยู่ในสถานะที่ดีที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงและยังคงสามารถปล่อยเงินกู้ต่อไปได้ โดยที่ธนาคารยังคงรักษาระดับเงินทุนที่แข็งแกร่งแม้จะประสบปัญหาการขาดทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ก็ตาม
นอกจากนี้ ผลทดสอบ Stress Test ประจำปีของเฟดซึ่งเป็นการตรวจสอบฐานะทางการเงินของธนาคารขนาดใหญ่ยังพบว่า ธนาคารเหล่านี้ยังคงมีความยืดหยุ่นแม้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย การว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น และความปั่นป่วนของตลาดการเงิน นอกจากนี้ การผ่านทดสอบ Stress Test ยังเปิดทางให้ธนาคารสามารถดำเนินการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน
เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา เฟดประกาศว่าการทดสอบ Stress Test ของภาคธนาคารในปี 2568 จะมุ่งเน้นไปที่การทดสอบผลกระทบของธนาคารรายใหญ่ที่ปล่อยกู้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และเพื่อการอยู่อาศัย นอกจากนี้ การทดสอบจะครอบคลุมถึงองค์ประกอบเพิ่มเติมที่จะใช้ในการทดสอบวิกฤตการณ์ในธุรกิจนอกภาคธนาคาร รวมทั้งผลกระทบของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่จำนวนมากที่จะมีต่อสถานะการเงินของธนาคารรายใหญ่
ในการทดสอบภาวะวิกฤตปี 2568 เฟดได้จำลองสถานการณ์ว่าอัตราว่างงานของสหรัฐฯ จะพุ่งขึ้น 5.9% แตะที่ระดับ 10% พร้อมกับราคาบ้านที่ทรุดตัวลง 33% และราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ปรับตัวลง 30% นอกจากนี้ ธนาคารรายใหญ่ที่มีการทำธุรกิจด้านเทรดดิ้งอย่างมีนัยสำคัญจะถูกทดสอบว่าจะได้รับผลอย่างไรกับการล้มละลายของคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด
สถานการณ์จำลองในปี 2568 ส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางเดียวกับสถานการณ์จำลองในปี 2567 ที่เฟดกำหนดขึ้น เพื่อตรวจสอบว่าธนาคารรายใหญ่มีความพร้อมที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอย่างไร และจะเป็นตัวกำหนดว่าธนาคารต้องกันเงินทุนสำรองไว้เท่าใดเพื่อรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
หุ้นธนาคารรายใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นขานรับผล Sress Test ในวันจันทร์ (30 มิ.ย.) โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา (Bank of America) หุ้นเจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase) หุ้นซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) ต่างก็ปรับตัวขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ค. 68)