รัฐบาลชู 5 Soft Power ไทยมัดใจชาวโลก ดันเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รมว.วัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน SPLASH – Soft Power Forum 2025 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ระบุว่า โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา เรากำลังเผชิญโลกที่เปราะบาง น่าวิตกกังวล เข้าใจยาก และไม่ตรงไปตรงมา สิ่งที่เราเคยฝากความหวังไว้ เช่น การเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ “ครัวของโลก” ที่เน้นส่งออกพืชผลและวัตถุดิบทางการเกษตร มาถึงวันนี้ ความหวังดังกล่าวกำลังเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งจากสงครามการค้า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไว ความผันผวนของตลาดโลก และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกแห่งอนาคต รัฐบาลไทยกำลังลงทุนในโครงสร้างใหม่ ๆ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล และการเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของเศรษฐกิจอนาคตที่ใช้เวลา และการลงทุนมหาศาล และอีกหนึ่งเส้นทางสำคัญ ที่เราให้ความสำคัญ คือ “วัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่สร้าง Soft Power”

“วันนี้ ผู้คนทั่วโลกไม่ได้ซื้อแค่สินค้า และบริการ แต่ซื้อประสบการณ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และรากของภูมิปัญญา ตลาดโลกกำลังเปิดรับ Soft Power ที่มีรากจากท้องถิ่น และมีคุณค่าแบบสากล สะท้อนความยั่งยืน โอบรับความหลากหลาย มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นของจริงเท่านั้น ดิฉันเชื่อว่า วัฒนธรรมไทยของเรา มีครบถ้วนทุกองค์ประกอบที่จะทำให้ต่างชาติหลงรัก” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ในปีที่ผ่านมา นโยบาย Soft Power ของไทย ได้เดินหน้าอย่างมีทิศทางและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะใน 2 ด้านสำคัญ คือ

1. การบูรณาการทุกภาคส่วนให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมให้มีเป้าหมายเดียวกัน ให้หลายหน่วยงานสามารถทำงานร่วมกันได้ มีการบูรณาการงบประมาณเพื่อใช้ตรงจุด ไม่ซ้ำซ้อน และกำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายชัดเจนมากขึ้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราทำสำเร็จ

2. การเปลี่ยนบทบาทของภาครัฐให้เป็น “ผู้สนับสนุน” เปิดทางให้เอกชนที่เข้าใจอุตสาหกรรมของตัวเอง ได้เป็นผู้นำในการขับเคลื่อน วันนี้ เอกชนนำ รัฐสนับสนุน เป็นแนวคิดสำคัญที่ทำให้นโยบาย Soft Power ของเราเดินหน้า

เมื่อรากฐานเริ่มมั่นคง ขั้นต่อไปของเราคือการ “ยกระดับ” จากจุดเริ่มต้นที่เน้นภายในประเทศ สู่การมองให้ไกลขึ้น กว้างขึ้น และเชื่อมกับโลกให้มากขึ้น โดยมีเป้าหมายใหญ่ ดังนี้

1. “อาหารไทย” จุดแข็งที่ทั้งโลกหลงรัก เราไม่ได้แค่จะขายรสชาติ แต่จะขายประสบการณ์ของความเป็นไทย เราจะยกระดับอาหารไทยให้เป็นแบรนด์ระดับโลกและเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทาง ด้วยโมเดลร้าน “Thai Cuisina” (ไทยคูซิน่า) ซึ่งจะครอบคลุมถึงขั้นตอนสุดท้ายหรือ Last mile ของ supply chain อาหารไทย คือ เราจะรวมร้านอาหารไทย 4 ภาค และซุปเปอร์มาร์เก็ตขายผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปที่มีคุณภาพไว้ในที่เดียวกัน รวมทั้งยังจะเป็นศูนย์ค้าส่งกระจายผลิตภัณฑ์อาหารไทยในต่างประเทศอีกด้วย

“เราวางแผนว่า จะให้มีร้าน Thai Cuisina ไปอยู่ตามเมืองใหญ่ทั่วโลก และจะต้องยกระดับการท่องเที่ยวในการต้อนรับนักเดินทางสายกิน ด้วยประสบการณ์แบบ Thai Culinary Tourism อย่างจริงจัง ทั้งคลาสเรียนทำอาหาร ทัวร์แหล่งวัตถุดิบท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐาน “Thai Select” ให้สามารถเทียบเคียงได้กับรางวัลทางอาหารอื่น เช่น Michelin Star ” น.ส.แพทองธาร กล่าว

2. “มวยไทย” จะไม่ใช่แค่กีฬาอีกต่อไป แต่มวยไทยจะกลายเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของชาวโลก เราจะสร้าง Muay Thai Bootcamp ให้เป็นเทรนด์ใหม่ที่ใครก็อยากทำ ที่ได้ทั้งความฟิตสุขภาพดี และได้ Detox พบกับความสงบ ออกมาจากโลกที่วุ่นวาย รวมทั้งพัฒนาลีกอาชีพให้แข็งแรง มีการแข่งขันที่มีคุณภาพ ดูสนุก และยกระดับมาตรฐานมวยไทยในทุกมิติ

3. “Thai Wellness” คือโอกาสใหม่ในยุคที่คนทั่วโลกแสวงหาความสมดุล เราจะผสานนวดไทย สมุนไพร อาหารสุขภาพ และสมาธิ ให้กลายเป็นประสบการณ์แบบองค์รวม สร้าง Thai Retreat Chain ให้ครบทุกมิติมีทุกอย่าง ตั้งแต่การบำบัดร่างกายจนถึงการพักใจ สร้างมาตรฐาน spa และ therapist แบบไทย พร้อมผลักดันยกระดับสมุนไพรไทย และนวดไทย ที่รองรับด้วยการวิจัยทางการแพทย์ พร้อมสำหรับการทำเป็นสินค้าส่งออก และส่งเสริมร้านนวดไทยเพื่อสุขภาพแบบมืออาชีพไปทั่วโลก

4. “ภาพยนตร์ไทย” คือเวทีที่เราจะเล่าเรื่องของเราให้โลกฟัง เราจะสนับสนุนคนทำหนังไทยให้กล้าฝันและกล้าสร้าง ผ่านพื้นที่ทดลองอย่าง writer’s room และ creative lab ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อสร้างหนังไทยที่มีเอกลักษณ์ ให้ต่างชาติเข้าใจความบันเทิงแบบไทย

“เราจะสนับสนุนภาพยนตร์ไทย ด้วยสิทธิประโยชน์คืนเงิน หรือ Cash Rebate เช่นเดียวกับที่เราให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ พร้อมดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศผ่านกองทุน co-production และจะจัดงาน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ Bangkok International Film Festival” ให้เป็นเทศกาลภาพยนตร์สำคัญของโลก เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านภาพยนตร์ และสร้างตลาดการซื้อขายภาพยนตร์นานาชาติที่กรุงเทพฯ” น.ส.แพทองธาร กล่าว

5. อัญมณี เป็นอุตสาหกรรมส่งออกอันดับต้นๆ ของไทย ซึ่งเกิดจากทักษะสร้างสรรค์ของคนไทย ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน ไทยมียอดส่งออกอัญมณีประมาณ 50,000 ล้านบาท แต่ปีที่แล้ว ไทยส่งออกอัญมณีไปกว่า 500,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า และช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ไทยส่งออกได้แล้ว 380,000 ล้านบาท และมีคนในอุตสาหกรรมนี้ถึง 1 ล้านคน

“เราจะฝึกอบรมนักออกแบบ ช่างเจียรนัยเพชร ช่างทอง ช่างเงิน ยกระดับจากช่างให้เป็นศิลปิน มีค่าตอบแทนสูงขึ้น เราจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ เพิ่มมูลค่าส่งออกอัญมณีให้ได้ถึง 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี” น.ส.แพทองธาร กล่าว

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้กำหนดจัดมหกรรม SPLASH – Soft Power Forum 2025 ระหว่างวันที่ 8-11 ก.พ.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเป็นงานที่รวบรวมศักยภาพของทุกภาคส่วน ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย เพื่อยกระดับสู่สากลในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศ

การจัดงาน SPLASH มีที่มาจากความพยายามในการสื่อสาร และปลุกความเชื่อมั่นของประชาชนว่า “ไทยมีวัฒนธรรมที่ดี และทรงพลัง” ซึ่งสามารถแปรเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ พร้อมชูตัวอย่างสินค้าอย่าง “จิวเวลรี่ไทย” ที่เมื่อเติมเรื่องราววัตถุมงคลเข้าไป จะสามารถสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“งานนี้ ไม่ใช่เพียงใหญ่ที่สุดในภูมิภาค แต่กำลังมุ่งสู่การเป็นเวทีระดับเอเชีย และเป็นจุดเชื่อมของคนในวงการ 14 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ทั้งภาพยนตร์ ดนตรี แอนิเมชัน เกม แฟชั่น อาหาร และอื่น ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่มีจำนวนผู้สร้างหนังเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายใน 1 ปี” นพ.สุรพงษ์ กล่าว

โดยหนึ่งในไฮไลต์ของงานปีนี้ คือ การเปิดตัวโครงการ “ThaiWorks” ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ริเริ่มและผลักดันมายาวนานกว่า 10 ปี ด้วยการลงทุนหลายร้อยล้านบาท เพื่อยกระดับ OTOP ไทย ด้วยรากเหง้าเสน่ห์ของความเป็นไทย ให้เป็นสินค้าวัฒนธรรมระดับโลก ขยายฐานตลาดให้กับสินค้า OTOP ในระดับสากล โดยการร่วมมือกับดีไซเนอร์นานาชาติ ปรับเรื่องราวและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้สินค้าชุมชน

นอกจากนี้ ภายในงานมีโซนกิจกรรมสำคัญ อาทิ เวทีเสวนานานาชาติ การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำระดับโลก โดยวันพรุ่งนี้ (9 ก.ค.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะแสดงวิสัยทัศน์ หัวข้อ “Crafting the Future : From OTOP to ThaiWORKS and beyond” และวันที่ 10 ก.ค.68 นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จะแสดงวิสัยทัศน์ หัวข้อ “Rethinking Thai Sports in Disruptive Era”

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ค. 68)