ดาวโจนส์ปิดลบ 165.60 จุด หลังทรัมป์ไม่ขยายเส้นตายรีดภาษี 1 ส.ค.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (8 ก.ค.) โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากบรรดาประเทศคู่ค้า และล่าสุดปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่ขยายเส้นตายในการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค.

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,240.76 จุด ลดลง 165.60 จุด หรือ -0.37%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,225.52 จุด ลดลง 4.46 จุด หรือ -0.07% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,418.46 จุด เพิ่มขึ้น 5.95 จุด หรือ +0.03%

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันจันทร์ หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีใหม่ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของประเทศคู่ค้า ซึ่งรวมถึงหลายประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไป และล่าสุดปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันอังคารเพื่อยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่ขยายเส้นตายในการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค.

ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% และมีแผนที่จะเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากในกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะทางอื่น ๆ ตามมาอีกในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาในอัตราที่สูงมาก โดยอาจจะเป็น 200% ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งบริษัทผลิตยาจะมีเวลาหนึ่งปีครึ่งในการเริ่มต้นการผลิตในสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีนำเข้าดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยนักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้า ท่ามกลางรายงานข่าวที่ว่าหลายประเทศซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังพยายามเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เพื่อขอให้มีการปรับลดอัตราภาษีก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค.

ขณะเดียวกันปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่าการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) และจีนเป็นไปด้วยดี แต่ก็กล่าวว่าเขามีเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีให้กับ EU

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลง 1.09% และ 1.07% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุด โดยพุ่งขึ้น 2.72% ตามด้วยหุ้นกลุ่มวัสดุเพิ่มขึ้น 0.53%

สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นฟรีพอร์ท-แมคโมแรน (Freeport-McMoRan) ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองทองแดงรายใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 2.5% ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าบริษัทผลิตทองแดงของสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากการที่ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตราสูง

หุ้นโมเดอร์นา (Moderna) พุ่งขึ้น 8.8% หลังจากมีรายงานว่าองค์กรทางการแพทย์ชั้นนำยื่นได้ฟ้องโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) ของสหรัฐฯ โดยระบุว่านโยบายวัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบันเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน

ที่ผ่านมานั้น เคนเนดีได้พยายามปรับโครงสร้างและปลดเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเขาเป็นผู้หนึ่งที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่การระบาดรุนแรงที่สุด เขาเรียกวัคซีนโควิดว่าเป็นวัคซีนที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขัดแย้งกับที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันขึ้นตรงกับเคนเนดีชี้ว่า วัคซีนโควิดช่วยชีวิตผู้คนได้หลายล้านคนในช่วงที่มีการระบาดใหญ่

โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี S&P500 ในช่วงสิ้นปี 2568 สู่ระดับ 6,600 จุด จากเดิมที่ระดับ 6,100 จุด โดยคาดว่าดัชนีจะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย

นักลงทุนจับตารายงานการประชุมวันที่ 17-18 มิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันนี้ (9 ก.ค.) เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของเฟด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ค. 68)