
จิม ชาลเมอร์ส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออสเตรเลีย เปิดเผยในวันนี้ (9 ก.ค.) ว่า รัฐบาลออสเตรเลียมีความกังวลอย่างยิ่งกับกรณีที่สหรัฐอเมริกาขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาและทองแดง
ขุนคลังออสเตรเลียเปิดเผยกับสถานีวิทยุ ABC ว่า รัฐบาลกลางกำลังเร่งขอคำชี้แจงจากทางสหรัฐฯ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% รวมถึงจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาในอัตราสูงถึง 200% โดยจะมีระยะเวลาผ่อนผันเพื่อให้บริษัทยาย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีนำเข้าดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้
ชาลเมอร์สระบุว่า ปัจจุบันออสเตรเลียส่งออกทองแดงไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของมูลค่าการส่งออกทองแดงทั้งหมด แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการส่งออกยา เนื่องจากออสเตรเลียส่งออกยาไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์
ฐานข้อมูลคอมเทรด (Comtrade) ของสหประชาชาติ ระบุว่า ออสเตรเลียส่งออกยาไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 44.8% ของมูลค่าการส่งออกยาทั้งหมดของออสเตรเลีย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า โครงการสิทธิประโยชน์ด้านยา (Pharmaceutical Benefits Scheme: PBS) ของออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในประเด็นข้อพิพาททางการค้า ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศมาตรการเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ทั่วโลก
รัฐบาลกลางออสเตรเลียให้เงินอุดหนุนค่ายากว่า 900 รายการผ่านโครงการ PBS ซึ่งถูกอุตสาหกรรมยาในสหรัฐฯ วิจารณ์ว่าไม่เป็นธรรมต่อการแข่งขัน อย่างไรก็ดี ชาลเมอร์สได้เน้นย้ำจุดยืนว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะไม่ยอมแลกเปลี่ยนหรือทำข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับโครงการ PBS ในการเจรจาการค้า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ค. 68)