ตร.ประสานอินเตอร์โพล ตามล่าตัว “ก๊ก อาน” คนสนิท “ฮุน เซน” จ่อขยายผลเพิ่ม

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) และหัวหน้าหน่วยงานสำคัญในการต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ กล่าวถึงกรณีการสืบสวนคดีนายก๊ก อาน นายทุนเขมรรายใหญ่ ที่เป็นเจ้าของอาคารสแกมเมอร์ และกาสิโนหลายแห่งในกัมพูชาว่า ในส่วนของคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับใครจะเป็นคนไทยหรือกัมพูชา ก็จะดำเนินคดีทั้งหมด รวมถึงยึดทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ สอท.อยู่ระหว่างขยายผล โดยในสัปดาห์นี้จะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม

“ส่วนการตรวจค้นครั้งที่ผ่านมาของตำรวจ สอท. พบเพียงแค่บุคคลที่ถูกตั้งข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งการติดตามตัวนายก๊ก อาน จากข้อมูลไม่พบว่าอยู่ในประเทศไทย รวมถึงในขณะที่ออกหมายจับนายก๊ก อาน นั้นก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีประสานกับอินเตอร์โพล แล้วเพื่อติดตามตัวว่าอยู่ในประเทศใด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการออกหมายแดง และส่งให้ประเทศสมาชิกอินเตอร์โพล 190 แห่งทั่วโลกได้รับทราบ” ผอ.ศปอส.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า นายก๊ก อาน ใช้หนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชา ขณะที่หลานสาวของก๊ก อาน ใช้บัตรประชาชนคนไทยปลอมหรือไม่นั้น จะต้องไปตรวจสอบก่อน หากใช่ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนรายละเอียดของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายนายก๊ก อาน อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล ขอให้รอเมื่อมีการรวบรวมพยานหลักฐานที่ครบกระบวนการแล้ว จะมีการแถลงข่าวให้ทราบ ซึ่งตอนนี้มีพยานหลักฐานของไทยที่ชัดเจนแล้ว ยังมีหลักฐานของ FBI ด้วย จึงสามารถไปขอศาลออกหมายจับได้

ผอ.ศปอส.ตร. กล่าวว่า จากหลักฐานที่มีเจ้าหน้าที่เชื่อว่านายก๊ก อาน เป็นเจ้าของอาคาร ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือสแกมเมอร์หลายแห่งนั้น อยู่ระหว่างการขยายผล ส่วนจะมีการออกหมายจับนายก๊ก อาน ในคดีอื่นเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าเป็นรูปแบบกระบวนการหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกประชาชนหรือไม่ และมีส่วนในการฟอกเงินด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ และจะต้องนำมาพิจารณาให้เป็นพยานหลักฐานในการออกหมายจับ

สำหรับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่อาจจะทำให้การประสานงานในการติดตามตัวนายก๊ก อาน มาดำเนินคดีนั้น เป็นไปได้ยากหรือไม่ พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ไทยก็อยากได้ตัว ซึ่งเราจะต้องทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย โดยเริ่มจากการส่งเรื่องไปที่อินเตอร์โพล ก่อนจะส่งเรื่องไปให้กัมพูชาในการออกหมายแดงนายก๊ก อาน โดยหลังจากนี้ อินเตอร์โพลก็จะออกขั้นตอนการปฏิบัติมาบังคับใช้กับกลุ่มสมาชิก แม้ว่าจะไม่มีบทลงโทษกับประเทศสมาชิกที่ไม่ดำเนินการตาม แต่ส่วนตัวเชื่อว่า แรงกดดันทางด้านสังคมจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาที่หลายประเทศกำลังประสบกันทั่วโลก และส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา และส่วนตัวก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่กัมพูชาก็อยากจะกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาด้วยเช่นกัน พร้อมยืนยันว่า ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางคดี

ส่วนกรณีที่นายก๊ก อาน มีความสนิทกับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานพฤฒสภากัมพูชา จะมีผลต่อการติดตามตัวหรือไม่ พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย ตนไม่สามารถตอบได้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารของกัมพูชา แต่สิ่งที่ตอบได้คือนายก๊ก อานเป็นนักธุรกิจ และสมาชิกวุฒิสภาของกัมพูชา (สว.) ที่มีความเกี่ยวข้องกับอาคาร สถานที่ที่เป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์หลายอาคาร และมีความเชื่อมโยงที่ชัดเจน

เมื่อถามว่าจากการสืบสวนมีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองของไทยหรือไม่ พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ในทางคดียังไม่พบความสัมพันธ์กับบุคคลใด รวมถึงยังไม่พบข้อมูลความเชื่อมโยงถึงเฮีย ต. ที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เคยเปิดเผยว่าเป็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาด้วย ซึ่งในขั้นตอนการสืบสวนของเรา เมื่อได้คดีมาแล้วก็จะขยายผลสืบสวนในส่วนที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) ตำรวจ สอท.ได้พยานบุคคล และพยานเอกสาร โดยเจ้าหน้าที่จะต้องไปวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น บัญชีธนาคาร และบุคคลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จึงจะสามารถตอบได้ว่ามีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง และตนได้กำชับไว้ว่าภายในสัปดาห์นี้ จะต้องทำให้เสร็จว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อป้องกันการหลบหนี และการเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน

เมื่อถามถึงกรณีบริษัทฮุ่ยวัน ที่สหรัฐอเมริกาแบล็คลิสต์ เนื่องจากเป็นบริษัทที่รับฟอกเงิน ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดในรายการหนึ่งว่ามีนายฮุนโต ซึ่งเป็นหลานชายของสมเด็จฮุน เซน ถือหุ้นอยู่นั้น พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า บริษัทฮุ่ยวัน เป็นบริษัทที่สหรัฐอเมริกามีการแบนเนื่องจากเป็นบริษัทใช้ในการฟอกเงิน ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการทำงานของไทย ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้มีแค่บริษัทเดียว จากข้อมูลที่เรามีนั้นมีหลายบริษัทที่ตั้งอยู่ในกัมพูชา

ส่วนข้อมูลของเจ้าหน้าที่ มีบุคคลใดที่อยู่ในระดับเดียวกับนายก๊ก อานหรือไม่นั้น พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ตนอ้างอิงข้อมูลจากหลายที่ รวมถึงข้อมูลจากเอกชน ซึ่งพบว่าข้อมูลตรงกันอย่างหนึ่งว่า ปอยเปตเป็นจุดแหล่งคอลเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา โดยในปอยเปตมีนายก๊ก อาน ที่เป็นเจ้าของอาคารหลายแห่ง และมีอาคารย่อยอีกจำนวนมาก ส่วนจะมีคนอื่นอีกหรือไม่ ต้องรอดูที่พยานหลักฐาน

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า ตนขอชื่นชมตำรวจ สอท.ที่กล้าดำเนินคดีกับเจ้าของอาคาร เพราะการรวบรวมพยานหลักฐานจากฝั่งกัมพูชา เพื่อมาขอหมายศาลในการจับกุมเจ้าของอาคาร เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่พยายามทำมาแล้ว 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่มีข้อมูลเพิ่มจากต่างประเทศ จึงทำให้เกิดความชัดเจน และทำให้ศาลเชื่อ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ค. 68)