วุฒิสภาสหรัฐฯ ออกรายงานจวกหน่วยอารักขาฯ วินัยป่นปี้ ทำมือปืนเกือบปลิดชีพ “ทรัมป์”

วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อปีก่อน โดยชี้ว่ามีต้นตอมาจาก “ความล้มเหลวหลายประการที่รับไม่ได้” ในด้านวินัยของหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Secret Service)

สำนักข่าวซินหัวรายงานวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า รายงานฉบับนี้ออกมาในวาระครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์ที่ทรัมป์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ถูกกระสุนเฉี่ยว หลังจากมือปืนวัย 20 ปีระดมยิงใส่ถึง 8 นัดระหว่างการหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย แม้คนร้ายจะถูกวิสามัญฆาตกรรม แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้ร่วมชุมนุมเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 2 ราย

รายงานของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกิจการรัฐบาลแห่งวุฒิสภา ระบุว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ และบทลงโทษที่บังคับใช้ต่อความล้มเหลวที่ผ่านมา ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของสถานการณ์เลย”

แรนด์ พอล ประธานคณะกรรมาธิการฯ จากพรรครีพับลิกัน กล่าวในแถลงการณ์ว่า “นี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจพลาดครั้งเดียว แต่มันคือความล่มสลายโดยสิ้นเชิงของระบบรักษาความปลอดภัยในทุกระดับ อันมีต้นตอมาจากความเฉยเมยแบบระบบราชการ การขาดระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน และการปฏิเสธที่จะจัดการภัยคุกคามตรงหน้า”

รายงานยังตอกย้ำถึงความหละหลวม ด้วยการชี้ว่า หน่วยอารักขารู้ตัวว่ามีบุคคลต้องสงสัยอยู่ใกล้เวที “เกือบ 45 นาทีก่อนเสียงปืนจะดังขึ้น แต่กลับล้มเหลวที่จะลงมือทำอะไร” ซึ่งเผยให้เห็น “รูปแบบของความล้มเหลวในการสื่อสารและความประมาทเลินเล่อที่น่ากังวล อันนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่สามารถป้องกันได้ในที่สุด”

“เราต้องทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ และต้องทำให้แน่ใจว่าการปฏิรูปได้ถูกนำไปปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด” พอลกล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังเหตุการณ์พยายามลอบสังหารดังกล่าว คิมเบอร์ลี ชีเทิล ผู้อำนวยการหน่วยอารักขาฯ ได้ลาออกจากตำแหน่ง และมีเจ้าหน้าที่อีก 6 นายที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น ถูกสั่งพักงานเป็นเวลา 10 ถึง 42 วัน ทว่าทางหน่วยงานได้แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.) ว่า ไม่มีผู้ใดถูกไล่ออก และบทลงโทษดังกล่าวนั้นเบากว่าที่คณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแนะไว้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.ค. 68)