เปิด 5 บริษัทไทย-เทศ ยื่นขอสิทธิสัมปทานปิโตรเลียมบนบก มี PTTEP ร่วมชิง คาดเคาะรายชื่อธ.ค.68

นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า หลังจากมีประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจบนบก (ครั้งที่ 25) ภายใต้ระบบสัมปทาน ได้เปิดรับข้อเสนอจากบริษัทผู้ประกอบการด้านปิโตรเลียมในการเข้าร่วมขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบก ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 1-16 ก.ค.68

โดยผลของการยื่นขอสิทธิฯ ครั้งนี้ มีจำนวน 8 คำขอ และมีผู้ที่ยื่นขอสิทธิฯ จำนวน 5 ราย ได้แก่

1. บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 3 คำขอ

2. บริษัท แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่ (สยาม) ลิมิเต็ด และ CanAsia Energy Corp. จำนวน 1 คำขอ

3. บริษัท จีโอเมคคานิคอล เซอร์วิสเซส จำกัด จำนวน 1 คำขอ

4. บริษัท อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 1 คำขอ

5. บริษัท ยูเอซี ยูทิลิตีส์ จำกัด จำนวน 2 คำขอ

นายวรากร กล่าวว่า ขั้นตอนการดำเนินการเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ ดังกล่าว ได้มีการเผยแพร่ประกาศเชิญชวนผ่านทางเว็บไซต์กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยบริษัทที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดประกาศเชิญชวนและเงื่อนไขต่าง ๆ ได้จากทั่วโลก และเปิดห้อง Data room ให้บริษัทผู้สนใจเข้าศึกษาข้อมูลในการจัดทำข้อเสนอต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พร้อมทั้งจัดสัมมนาเพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลรวมทั้งแนวทาง ข้อกำหนดต่าง ๆ เกี่ยวกับการยื่นขอสิทธิฯ

โดยหลังจากกรมฯ ได้รายชื่อผู้ยื่นขอสิทธิฯ แล้ว จะพิจารณาและประเมินข้อเสนอของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค.68 หลังจากนั้น จะนำเสนอผลการคัดเลือกต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ และเมื่อครม.อนุมัติแล้ว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะดำเนินการประกาศผลผู้ชนะ และลงนามในสัมปทานต่อไป

“กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จะพิจารณาและประเมินข้อเสนอจากบริษัทที่ยื่นขอสัมปทานอย่างรอบคอบ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม การที่มีบริษัทชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทย รวมถึงภาคการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่องต่าง ๆ เนื่องจากไม่ได้มีการเปิดให้ขอยื่นสัมปทานในพื้นที่ใหม่บนบกมาตั้งแต่ปี 2550 นับเป็นโอกาสสำคัญในการค้นพบแหล่งพลังงานภายในประเทศที่คาดว่าจะมีศักยภาพอยู่” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกล่าว

พร้อมระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ แต่ยังมีส่วนสำคัญในการลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน สร้างรายได้และการจ้างงานในพื้นที่ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างสูงสุด และยั่งยืน อันเป็นการวางรากฐานที่แข็งแรงให้กับระบบพลังงานของไทยในระยะยาวต่อไป

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ค. 68)