PSG พลิกวิสัยทัศน์ใหญ่สู่ผู้นำพลังงานหมุนเวียน-ทรัพยากรธรรมชาติระดับภูมิภาคดันรายได้ 3 หมื่นลบ.ปี 78

บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น [PSG] ประกาศวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญมุ่งสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับภูมิภาคด้านการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยนายเดวิด แวน ดาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PSG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากนี้จะเติบโตก้าวกระโดดแตะระดับ 20,000-30,000 ล้านบาทภายในปี 2578 พร้อมเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ควบคู่กับการปรับโครงสร้างทุนเพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นางสาวสมฤดี ห์ลีละเมียร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการเงินของ PSG กล่าวถึงเป้ารายได้ปี 68 ว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/68 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 642 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 98.8 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมี Backlog (มูลค่างานในมือ) ที่รอรับรู้รายได้ถึงปี 2570 กว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงานก่อสร้างใหม่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการสรุปรายละเอียด

 

*ปักหมุดโครงการยักษ์ใน สปป.ลาว มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท

นายเดวิด เปิดเผยว่า PSG วางแผนขยายการเติบโตจากงานก่อสร้างโครงการใหม่ที่จะเน้นงานมูลค่าสูง โดยล่าสุดบริษัทฯ อยู่ระหว่างสรุปรายละเอียด 2 โครงการสำคัญใน สปป.ลาว ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับแผนการขยายธุรกิจ ได้แก่:

โครงการก่อสร้างอาคารประกอบอุปกรณ์สนับสนุนสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนเซกอง (XTPPL): ขนาด 1,800 เมกะวัตต์ ครอบคลุมงานโยธาและการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับโรงไฟฟ้า รวมถึงเหมืองแบบบูรณาการ และสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ ระยะทาง 253 กิโลเมตร เชื่อมจากโรงไฟฟ้าไปยังชายแดนลาว-กัมพูชา โดยมีกำหนดการก่อสร้างตั้งแต่ไตรมาส 4/68 ถึงไตรมาส 1/73

โครงการก่อสร้างระบบลำเลียงถ่านหินและเถ้าสำหรับโรงไฟฟ้า 1,800 เมกะวัตต์: เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ XTPPL โดยทำหน้าที่ขนส่งเชื้อเพลิงและบริหารจัดการผลพลอยได้จากเถ้าถ่าน กำหนดระยะเวลาก่อสร้างปี 68 ถึงไตรมาส 1/70

บริษัทคาดว่าจะสรุปมูลค่างานทั้งสองโครงการนี้ได้ภายในไตรมาส 3/68 โดยแต่ละโครงการจะมีมูลค่าประมาณ 5,000-8,000 ล้านบาท หรือรวมกันอย่างต่ำ 10,000 ล้านบาท หากบริษัทฯ สามารถคว้างานดังกล่าวสำเร็จ จะส่งผลให้ Backlog งานก่อสร้างของ PSG เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผนการเติบโตของบริษัทฯ

“ความสำเร็จในการดำเนิน 2 โครงการก่อสร้างข้างต้น สะท้อนถึงความสามารถของ PSG ในการบริหารและดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการขยายธุรกิจในหลากหลายด้าน ความสำเร็จดังกล่าวผลักดันให้บริษัทฯ กำหนดวิสัยทัศน์ ในการดำเนินธุรกิจขึ้นใหม่ คือ ก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในการพัฒนาโครงการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างในการขยายสู่ธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของภูมิภาค” นายเดวิด กล่าว

 

*พร้อมขยายสู่ธุรกิจพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ มองโอกาสทองใน สปป.ลาว

นายเดวิด ระบุว่า ไม่อยากให้ PSG พึ่งพางานก่อสร้างแต่เพียงอย่างเดียวในระยะยาว เนื่องจากมาร์จิ้นที่ไม่สูง และข้อเปรียบทางการแข่งขันของบริษัทฯ ในฐานะผู้รับเหมา ที่อาจไม่สามารถสู้กับบริษัทรายใหญ่ได้ โดยเฉพาะถ้าต้องมาแข่งขันในประเทศไทยหรือประเทศอื่น ๆ จึงเป็นเหตุในการตัดสินใจขยายไปอุตสาหกรรมอื่นที่ PSG สามารถเป็นดีเวลลอปเปอร์หรือเจ้าของธุรกิจได้

หลังจากการวิเคราะห์เมกะเทรนด์ในภูมิภาคแล้ว ก็ให้ความสนใจกับธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจพลังงาน โดยทั้งคู่เป็น 2 อุตสาหกรรมส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของสปป.ลาว และยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยอ้างอิงรายงานของธนาคารโลกซึ่งระบุว่าเศรษฐกิจของ สปป.ลาว ในปีที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 4.1 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคพลังงาน เหมืองแร่ และเกษตรกรรม

“แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา PSG ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตระยะยาวของ สปป.ลาว เราให้ความสำคัญกับการลงทุนใน สปป.ลาว อย่างต่อเนื่อง และมองเห็นสัญญาณบวกจากการปฏิรูปหลายด้าน เราเชื่อว่าภายใต้การนำของคณะผู้บริหารในปัจจุบัน ประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง” นายเดวิดกล่าว

ปัจจุบัน PSG ยังคงดำเนินการก่อสร้าง 2 โครงการสำคัญใน สปป.ลาว ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตเหมือง XPPL Phase 1 มูลค่า 239.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 8,082.23 ล้านบาท) ซึ่งมีความคืบหน้า 81% และคาดแล้วเสร็จปี 2569 และโครงการก่อสร้างพื้นที่พัฒนาเพื่อการตั้งถิ่นฐานใหม่ Resettlement Development มูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่มีความคืบหน้า 21% และคาดแล้วเสร็จปี 2570

นายเดวิด ชี้ว่า ความสำเร็จในการดำเนินโครงการเหล่านี้เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการขยายธุรกิจสู่ภาคส่วนที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้น โดย PSG จะค่อยๆ ลดสัดส่วนรายได้จากงานก่อสร้างลงเหลือเพียง 10% ภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจพลังงานจะคิดเป็น 30% และที่เหลือจะมาจากธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ

บริษัทฯ ให้ความสนใจกับธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน ซึ่งเป็น 2 อุตสาหกรรมส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของ สปป.ลาว โดยเริ่มทดลองให้บริการด้านการดำเนินงานและบริหารจัดการเหมืองในพื้นที่ 2 แห่ง ได้แก่ เหมืองทองคำใต้ดิน (สัมปทาน 35 ปี) และเหมืองถ่านหินแบบเปิด (สัมปทาน 15 ปี) บริษัทคาดว่าจะสามารถสรุปรูปแบบการดำเนินงานได้ภายในสิ้นปีนี้

สำหรับการเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน PSG มุ่งเน้น 3 แนวทางหลัก

  • ศึกษาปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (PSH): ลงนาม MOU กับ Electricite du Laos (EDL) เพื่อปรับปรุงโรงไฟฟ้าเดิมและศึกษาการผนวกแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้า
  • ศึกษาการผลิตพลังงานหมุนเวียนแบบผสมผสาน (Hybrid): พิจารณาลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน PSH กับพลังงานแสงอาทิตย์และรูปแบบอื่น ๆ โดยพบศักยภาพในการพัฒนาโซลาร์ฟาร์มขนาด 10,000 เมกะวัตต์ ในแขวงอัตตะปือ
  • แสวงหาพันธมิตรและตลาดจำหน่ายไฟฟ้า: ลงนาม MOU กับหน่วยงานพลังงานระดับภูมิภาค เพื่อศึกษาการส่งออกไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปยังกัมพูชา สิงคโปร์ และจีน

สำหรับการปรับโครงสร้างทุนรองรับการเติบโต นางสาวสมฤดี กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินการปรับโครงสร้างทุนผ่านการรวมหุ้น ลดทุนจดทะเบียน และทุนชำระแล้ว เพื่อล้างรายการส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น การดำเนินการรวมหุ้นและลดทุนจดทะเบียนรอบแรกจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยคาดว่าจะต้องมีการปรับลดอีก 2 ครั้งในเวลาที่เหมาะสม

“เมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น งบการเงินของเราจะสะท้อนมูลค่าและสถานะที่แท้จริงของบริษัทฯ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนสถาบันและกองทุนมากขึ้น” นางสาวสมฤดี กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 68)