
บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ระบุว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน แม้ภาวะอัตราผลตอบแทน (Yield) โดยเฉพาะในฝั่งพันธบัตรอายุยาวจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.00% แต่ยังมีแนวโน้มลดลงต่อ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี
นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง ASPS ระบุว่า “แม้ผลตอบแทนจะลดต่ำลงต่อเนื่อง นักลงทุนยังคงเข้าซื้อตราสารหนี้ไทยอย่างคึกคัก โดยมีแนวโน้มลงทุนแบบ Selective Buy มากขึ้น โดยเน้นตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่า BBB และอายุไม่เกิน 2 ปี ขณะที่ Perpetual Bonds ของบริษัทชั้นนำซึ่งให้ผลตอบแทน 3.00-4.00% ยังคงเป็นที่ต้องการสูง เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ส่วนใหญ่ในตลาดที่ให้ Yield ต่ำกว่า 3.00%”
ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2/68 ตลาดตราสารหนี้ไทยมีมูลค่าคงค้างรวม 17.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากปีก่อน โดยเป็นการเติบโตของพันธบัตรภาครัฐ ในขณะที่มูลค่าคงค้างของตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวปรับลดลง (-19.3%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น: Investment Grade ลดลง (-19.7%) และ High yield (-13.2%) ที่มีมูลค่าการออกลดลงมาอยู่ที่ 372,697 ล้านบาท และ 26,123 ล้านบาท ตามลำดับ
มูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวครบกำหนดช่วงครึ่งปีหลังนี้ 414,810 ล้านบาท โดยจะครบในช่วงไตรมาสสาม 194,385 ล้านบาท และ ในช่วงไตรมาสสุดท้าย 220,424 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังครองอันดับหนึ่งของการมีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER)
5 อันดับแรกของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มเดิม คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP) กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) โดย 5 กลุ่มนี้มียอดคงค้างประมาณเดิมอยู่ที่ 61% ของมูลค่ารวมทั้งตลาด แต่ถ้ามองในมุมของอันดับเครดิตแล้ว หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A ยังคงมีมูลค่าคงค้างสูงสุด แต่ถ้ามองทุกอันดับเครดิตรวมกันกว่า 94% เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade (BBB-) ขึ้นไป
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตร ตลาดคาดการณ์ว่า แบงก์ชาติมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% ลงมาอยู่ที่ 1.50% หรือต่ำกว่า เพราะศักยภาพที่มีเพียงพอรองรับการปรับลงได้อีก ประเมินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยต่ำสุดที่ 0.5% ช่วงปี 65 อีกทั้งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (real interest rate) ของไทยอยู่ที่ +2.00% ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า
“โดยปกติแล้วตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้า สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 15 ปี ตอนนี้ลงมาต่ำกว่า 1.75% ตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงในการประชุม 1-2 ครั้งที่เหลือจากทั้งหมด 3 ครั้งในปีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะปรับลงเป็นครั้งที่สองในการประชุมเดือนสิงหาคม”
ทั้งนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้านับจุดเริ่มต้นสิ้นปีที่แล้ว อัตราพันธบัตรอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับลง 53-54 bps มาอยู่ที่ประมาณ 1.43% ส่วนอายุมากกว่า 1 ปี ปรับลงไม่ต่ำกว่า 65 bps จาก ณ สิ้นปีที่ยังเห็นอัตราผลตอบแทนสำหรับตัวยาวเกิน 36 ปี ไม่ต่ำกว่า 3.00% มา ณ ตอนนี้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่อายุยาวที่สุด 46 ปี (LB726A) ยังลงมาต่ำกว่า 2.30%
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง คือ เลือกซื้อตราสารหนี้อายุกลางๆ ไว้ทำกำไรระยะสั้น แต่ก็ยินดีถ้าจะต้องถือยาว เนื่องจาก ปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญจากทั้งภายในและภายนอก อย่างภัยพิบัติทางธรรมชาติ หนี้เสีย ภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำ และจะถูกซ้ำเติมจากสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับไทยในอัตรา 36% จึงกดดัน yield ให้ทรงตัวในระดับต่ำจนถึงลงไปได้อีกตามการคาดการณ์การปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบายที่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกปรับลงอีกอย่างน้อย 25 bps ไปอยู่ที่ต่ำกว่า 1.50%
แต่อย่างไรก็ตามก็ควรจะเตรียมพร้อมสำหรับกรณีตลาดพร้อมดีดตัวกลับเมื่อเห็นสัญญาณ bottom out ของภาวะดอกเบี้ย ซึ่งคงยังไม่เห็นในเร็ววันนี้ จึงแนะนำให้ selective buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าเพื่อ trading แนะซื้อตราสารหนี้ภาครัฐ แต่ถ้าวัตถุประสงค์ Buy and Hold แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่อันดับเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB หรือหุ้นกู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม (Food), การแพทย์ (Helth), ธุรกิจการเกษตร (Agri) เป็นต้น “แม้ตลาดตราสารหนี้จะดูซึมตัว แต่ก็ยังมีโอกาสทำกำไรได้จากการลงทุนอย่างมีชั้นเชิงและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ ASPS ประเมินว่าครึ่งปีหลัง เริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น จากที่ครึ่งปีแรกเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการเงินตึงตัวและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะนโยบายภาษีการค้า แต่การส่งสัญญาณที่ “ผ่อนปรนมากขึ้น”จากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ช่วยคลายความกังวลของตลาด พร้อมหนุนให้นักลงทุนหันไปให้ความสำคัญกับ “ผลกระทบที่แท้จริง” ต่อธุรกิจ เช่น ต้นทุนและพฤติกรรมผู้บริโภค ที่จะมีผลต่อกำไรในระยะต่อไป
ตลาดสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการบริโภค-บริการ หนุนแนวโน้ม EPS S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่ ในด้านเศรษฐกิจ แม้ประเด็นภาษียังเป็นแรงกดดัน แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเดินหน้าขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการบริโภคและภาคบริการ Bloomberg จึงปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี S&P 500 ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และลดโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เหลือเพียง 35% ในเดือนกรกฎาคม จากระดับ 45% เมื่อเดือนเมษายน
ASPS มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังโดดเด่นจากการเป็นศูนย์กลางของบริษัทนวัตกรรมระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสร้างโอกาสการเติบโตตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ส่งผลให้ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
ประเมิน Upside ของ S&P 500 ยังเปิดกว้าง หากสหรัฐฯ เดินหน้าลดดอกเบี้ยและผ่านงบใหม่ แม้ Forward P/E ของ S&P 500 อยู่ที่ระดับสูงราว 22.3 เท่า (ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2568) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี แต่ Bloomberg Consensus ยังคงให้เป้าหมายสิ้นปีที่ 6,732 จุด คิดเป็น Upside ประมาณ 7.8% โดยได้แรงหนุนจากทั้ง Big Tech และกลุ่มหุ้นที่เคยเป็น “Laggard” ซึ่งอาจฟื้นตัวตามแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศ หากสหรัฐฯ สามารถลดอัตราดอกเบี้ย และผลักดันงบประมาณชุดใหม่ผ่านสภาได้ ก็จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อการทำจุดสูงสุดใหม่ของตลาด
ปัจจัยเสี่ยงยังต้องติดตาม เป็นปัจจัยที่อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดในระยะสั้นหลายประเด็น เช่น ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์, การชะลอตัวของการบริโภคและการจ้างงาน, นโยบายใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ, การเปลี่ยนแปลงในท่าทีของธนาคารกลาง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งยังส่งผลต่อกระแสเงินทุนและราคาสินทรัพย์ทั่วโลก
กลยุทธ์แนะนำ: ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ควบคู่กระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ASPS แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะ “แรงขาย” เป็นโอกาสในการ “ทยอยสะสม” หุ้น โดยเน้นกลุ่มบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในเชิงโครงสร้าง เช่น กลุ่ม Big Tech และ AI Supply Chain และ กลุ่ม Financials, Travel, และ Defense
ควรเสริมพอร์ตด้วยหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ เช่น Consumer Staples และ Health Care เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในช่วงตลาดผันผวน พร้อมทั้งเปิดรับโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่ยังมีศักยภาพในระยะกลาง เช่น ยุโรป, จีน, ฮ่องกง, และ เวียดนาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ค. 68)