
นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สายการบินนกแอร์ (NOK) กล่าวว่า การออกจากแผนฟื้นฟูของนกแอร์อยู่ในหลักการว่าจะต้องชำระหนี้ได้ตามแผน ซึ่งขณะนี้เจ้าหนี้ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นเหลืออยู่ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าออกจากแผนฟื้นฟูในราว เดือน ก.ย. 71 โดยประเมินจากรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นจากการเปิดเส้นทางระหว่างประเทศจึงคาดว่าจะชำระหนี้ได้ครบภายใน 2 ปี
ที่ผ่านมา นกแอร์ ต้องเผชิญกับวิกฤตมากมายตั้งแต่ราคาน้ำมัน ปัญหาเศรษฐกิจผันผวน ไปจนถึงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประสบกับการขาดทุนติดต่อกันยาวนานกว่า 9 ปี แต่ช่วง 2 ปีล่าสุดเริ่มมีกำไรติดต่อกัน โดยในปี 66 มีกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท และ ปี 67 มีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมที่ 7,000 ล้านบาท หรือทำได้ราว 500-600 ล้านบาทต่อเดือน มีผู้โดยสารรวมประมาณ 4 ล้านคน ขณะที่ Cabin Factor เฉลี่ยอยู่ที่ 80%
สำหรับปี 68 บริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ก.ค.68 ทำรายได้ราว 4,000 ล้านบาทแล้ว และหวังว่าช่วงครึ่งปีหลังเครื่องบินที่ส่งซ่อมจะทยอยกลับเข้าฝูงบิน และกลับมาเปิดเส้นทางระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้ Capacity เพิ่มเป็นประมาณ 30% ซึ่งจะทำให้รายได้เพิ่มตามไปด้วย จากแผนการเพิ่มเครื่องบิน 4 ลำทุกปีจะเพิ่ม Capacity ประมาณ 10-15% ทุกปี
นายปกรณ์ รัตนรอด ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ สายการบินนกแอร์ กล่าวว่า ช่วงตารางบินฤดูหนาว (Winter Schedule) เริ่มตั้งแต่ 26 ต.ค.68 เป็นต้นไป นกแอร์ มีแผนจะกลับมาบินเส้นทางระหว่างประเทศที่หยุดไปเมื่อปลายปี 67 และเม.ย. 68 ที่ผ่านมา เริ่มจาก อินเดีย ใน 3 เมืองหลัก ( ไฮเดอราบัด,มุมไบ, นิวเดลี ) เวียดนาม (ไซ่ง่อน ,ดานัง/ฮานอย ) จีน (หนานหนิง , เจิ้งโจว ) และเปิดเส้นทางทางใหม่ บาหลี (อินโดนีเซีย) และมะนิลา(ฟิลิปินส์)
ปัจจุบัน “นกแอร์” ให้บริการมากกว่า 100 เที่ยวบินต่อวัน ครอบคลุมกว่า 15 เส้นทางบินภายในประเทศ โดยเครือข่ายการบินของนกแอร์ปัจจุบัน ทำการบินในประเทศ 100% การเปิดเส้นทางระหว่างประเทศในอีก 3-4 ปีจะปรับสัดส่วนป็น 40% ระหว่างประเทศ 60%
ฝูงบินของ NOK มีจำนวน 14 ลำ ใช้งานได้ 8 ลำ ที่เหลืออยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุงคาดว่าจะสิ้นปี 68 จะมีเครื่องบินให้บริการเพิ่มเป็น 11 ลำ จะรวมที่เช่าเครื่องบินมาเพิ่ม 2 ลำ ซึ่งทุกตารางบินฤดูหนาวจะมีเครื่องบินเพิ่ม 4 ลำ ภายใน 5 -6 ปีคาดว่าจะมีฝูงบินเพิ่มเป็น 20-30 ลำ รวมทั้งได้หารือกับโบอิ้ง จัดหาเครื่องบินแบบ Boeing 737-800 และเครื่องบินรุ่นใหม่เพื่อเสริมศักยภาพฝูงบินอีกด้วย
“ยอมรับว่านักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา ซึ่งทุกสายการบินปรับลดเที่ยวบินไปจีนลง ทำให้นกแอร์มุ่งไปที่เส้นทางอินเดียก่อน เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพและเติบโต รวมถึงเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยจะใช้จุดแข็งของนกแอร์เรื่องราคาที่รวมทุกบริการทั้งน้ำหนักกระเป๋า อาหาร ต่างจากโลว์คอสต์แอร์ไลน์ “
นายวุฒิภูมิ กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 21 ปีของนกแอร์ ขนส่งผู้โดยสารไปแล้ว 70 ล้านคน ตอกย้ำจุดยืนความเป็น “สายการบินของคนไทย” ด้วยผลงานที่เติบโตทั้งในแง่การฟื้นตัวหลังวิกฤต ความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ และการขยายบริการใหม่ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลของผู้บริโภค โดยมีการ เปิดตัว 2 บริการใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับทุกการเดินทาง ได้แก่ Nok Air Inflight Entertainment (IFE) บริการด้านความบันเทิงบนเครื่องบินระหว่างการเดินทางผ่านอุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวของตนเอง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จากการจับมือกับพาร์ทเนอร์แพลตฟอร์มดูซีรีส์ยอดนิยมอย่าง Viu (วิว) และผู้ให้บริการคอนเทนต์อื่นๆ รวมถึงเนื้อหาจากสายการบินนกแอร์เอง
นอกจากนี้ จะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ กลุ่มโอทอป หอการค้าแต่ละจังหวัด โดยคัดสรรของดี 77 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งของกิน ของใช้ ของฝาก นำมาเสนอขายบนเครื่องบินผ่าน Nok Air Inflight Entertainment รวมถึงสินค้า OUTLETE แบรนด์เนมด้วย จะรวมอยู่ในแพลตฟอร์มนี้ และจะพัฒนารวมมือกับพาร์ทเนอร์ไปถึงการจัดส่งให้ถึงบ้าน กรุงเทพภายใน 3 วัน ต่างจังหวัดไม่เกิน 7 วัน ซึ่งเหล่านี้จะเป็นการเพิ่มรายได้ ซึ่งจะเริ่มในเดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
สายการบินนกแอร์ยังเปิดตัวบริการ Nok Deal แพลตฟอร์มสิทธิพิเศษใหม่สำหรับสมาชิก Nok Fan Club ที่มีอยู่ 1 ล้านคน และ Active ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย กระจายทั่วประเทศ เป็นกลุ่มที่เดินทางด้วยเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งมีฐานข้อมูลพฤติกรรมการเดินทางที่นำมาต่อยอดด้านบริการได้ เพื่อสร้าง Brand Loyalty ด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการพิเศษ, ส่วนลดบัตรโดยสารจากนกแอร์ สิทธิประโยชน์จากพันธมิตรทั่วประเทศ, บัตรคอนเสิร์ต และอีกมากมาย ที่ผู้โดยสารสามารถแลกผ่าน Nok Deal ได้โดยตรง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ค. 68)