ไทย-กัมพูชา: ศบ.ทก.ประณามกัมพูชาไม่จริงใจหยุดยิง ยังใช้อาวุธหนัก-ยั่วยุเพิ่มดีกรีขัดแย้ง

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ด้านความมั่นคง กล่าวว่า ตามที่มีข่าวบางประเทศเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงนั้น ฝ่ายไทยเห็นด้วยในหลักการดังกล่าว แต่จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจ และเข้าร่วมหารือในขั้นตอนรายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งหยุดยิงเป็นที่ประจักษ์

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่ผ่านมา กัมพูชายังส่งกำลังทหารเข้าปะทะบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเขาพระวิหารเมื่อเวลา 02.10 น. และยิงจรวด BM21 เมื่อเวลา 06.10 น. เข้ามาตกในฝ่ายไทย ที่บริเวณบ้านตาโส อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายพลเรือน ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย และเมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) เวลา 15.30 น. กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาได้พุ่งเป้าใส่ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ จ.ศรีสะเกษ และ รพ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ รวมทั้งมีการใช้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นโล่กำบังในการใช้อาวุธยิง ซึ่งถือว่าไร้หลักมนุษยธรรม โดยทั้งหมดนี้ ถือเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน

“ขอประณามต่อการพูดคุยอย่างไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา โดยที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิเสธ และเลื่อนการพูดคุยเจรจาหารือในเวทีทวิภาคีหลายครั้ง ทั้งเวที JBC, GBC, RBC ซึ่งฝ่ายไทยมองว่า เวทีการประชุมเหล่านี้ สามารถนำประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่มีข้อขัดแย้งระหว่างกัน ขึ้นมาพูดคุยในเวทีนี้ได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ” โฆษก ศบ.ทก. กล่าว

พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าฝ่ายกัมพูชาได้เสริมกำลังทางทหาร และเตรียมที่มั่นดัดแปลงตามบริเวณแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อสัญญาออตตาวา และยังมีท่าทียั่วยุ ส่งเสริมการปลุกระดมมวลชนชาวกัมพูชาทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เข้าสู่ความตึงเครียด โดยใช้กระแสชาตินิยมปลุกปั่น เพื่อหวังยกระดับให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

รวมถึงการแสดงออกต่อท่าทีความพร้อมการใช้กำลังทหาร การโพสต์ผ่านสังคมออนไลน์ ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง และกล่าวหาประเทศไทยอย่างไร้หลักฐาน ซึ่งเป็นชนวนเหตุของความไม่พอใจและนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันในเวลาต่อมา

 

  • สรุปยอดล่าสุด พลเรือนเสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บ 49 ราย

โฆษก ศบ.ทก. ระบุว่า จนถึงวันนี้ กัมพูชายังใช้อาวุธหนักหนัก ทั้งปืนใหญ่ ปืนใหญ่กระสุนวิถีโค้ง จรวดหลายลำกล้อง BM 21 รวมทั้งปรากฎข่าวความเคลื่อนไหวว่ากัมพูชาอาจใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพ เช่น PHL03, RM 70 และ BM 21 ด้วยเช่นกัน

สำหรับยอดผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บล่าสุดจนถึง ณ เวลา 09.00 น.วันนี้ พลเรือนเสียชีวิต รวม 13 ราย ยังเป็นจำนวนเท่าเดิม บาดเจ็บสาหัส 11 ราย บาดเจ็บปานกลาง 12 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย รวมยอดผู้บาดเจ็บทั้งหมด 49 ราย

“ตัวเลขไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต้องชื่นชมหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ที่ช่วยเหลือประชาชาชในการอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างเร่งด่วน ทำให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย และได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่” โฆษก ศบ.ทก. ระบุ

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาล้วน ๆ ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ของทั้ง 2 ประเทศ ขอวิงวอนให้ประชาชนชาวไทย หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทั้งการใช้กำลัง การดูหมิ่นเหยียดหยามพี่น้องชาวกัมพูชาที่เข้ามาพำนัก เข้ามาทำงาน หรือเข้ามาศึกษาในไทย เว้นในกรณีที่ชาวกัมพูชาแสดงกิริยาก้าวร้าว ก็ขอให้ใช้สติในการใช้เหตุผลพูดจา ตักเตือน โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง หากมีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

  • กต.เตรียมยื่น ICRC ประณามกัมพูชาไร้มนุษยธรรม

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แบบปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ก.ค.) ตามเวลานิวยอร์ก ได้มีการหารือโดยมี 15 รัฐสมาชิก ซึ่งมีไทยและกัมพูชาคู่กรณีเข้าร่วม ซึ่งโอกาสนี้ฝ่ายไทยได้มีการย้ำจุดยืนต่อชาวโลกด้วยหลักฐานที่หนักแน่นและข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มและเปิดฉากยิง รวมถึงมีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทย โดยมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงต้องอพยพหลักแสนคน ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ การหารือของ UNSC มีการกล่าวถึงหลักการกว้างๆ ในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ 1.เรียกร้องให้สองฝ่ายลดความตึงเครียดและแก้ไขโดยสันติวิธี เช่นการใช้วิธีทางการทูตหรือการเจรจาทวิภาคี 2.หลายประเทศสมาชิกสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามกฎบัตรอาเซียน 3.ย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารผลลัพธ์ใด ถือเป็นสิ่งที่ดีแสดงว่ารัฐสมาชิกต่าง ๆ มีความเข้าใจในจุดยืนและการดำเนินการของฝ่ายไทย

ส่วนการประณามการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงการโจมตีพลเรือนโดยฝ่ายกัมพูชา เป็นการกระทำไร้มนุษยธรรม และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาเจนีวา 1949 ข้อ 19 ฉบับที่ 1 ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานพยาบาล และข้อ 18 ฉบับที่ 4 เกี่ยวกับภารกิจเรื่องการคุ้มครองโรงพยาบาลฝ่ายพลเรือน

พร้อมกันนี้ กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เพื่อประณามอย่างรุนแรงต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และจะพบกับสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ในวันที่ 29 ก.ค.นี้ เพื่อหารือและชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งไทยต้องการสื่อสารไปยังประชาคมโลกว่า การกระทำไร้มนุษยธรรมอันต่อเนื่องของกัมพูชา เป็นสิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศต้องร่วมกันประณาม ขณะที่เมื่อเช้านี้ กัมพูชายังโจมตีสถานที่ต่าง ๆ ของพลเรือนในไทย

สำหรับข้อเสนอในการหยุดยิงและบทบาทการต่างประเทศ เรื่อง การเรียกร้องให้สองฝ่ายหยุดยิงนั้น ขอย้ำว่า กัมพูชาจะต้องแสดงถึงความจริงใจในการหยุดยิงก่อน โดยเฉพาะการโจมตีที่ไม่เลือกเป้าหมาย และกระทรวงการต่างประเทศ จะออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อสื่อต่างประเทศ และกรณีที่ทหารกัมพูชาใช้อาวุธร้ายแรงโจมตีบ้านเรือนประชาชนใน จ.สุรินทร์ เมื่อช่วงเช้า 27 ก.ค.ที่ผ่านมา และเพื่อตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชา ที่กล่าวหาฝ่ายไทยว่าไทยเป็นผู้ริเริ่ม

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ค. 68)