ไทย-กัมพูชา: รมช.กลาโหม ยอมรับไม่เชื่อใจร้อยเปอร์เซ็นต์แต่จำต้องชะลอความสูญเสียยันไร้ใบสั่ง

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาหลังเดินทางไปเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวานนี้ ยืนยันให้ประชาชนเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญด้านความมั่นคงมาอย่างโชกโชน ตั้งแต่เจ้ากรมยุทธการทหารบก เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จนถึงปัจจุบันในฐานะ รมช.กลาโหม ที่มองสถานการณ์ในทุกมิติ

พล.อ.ณัฐพล ระบุว่าก่อนเดินทางไปมาเลเซียได้มีการหารือกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยกำหนดเวลาหยุดยิงที่ 18:00 น.ของเมื่อวานนี้ แต่ทางกัมพูชาขอเลื่อนเป็น 24:00 น. ซึ่งไทยก็พอรับได้ แม้จะมีความกังวลเนื่องจากเป็นช่วงเวลากลางคืน และกัมพูชามีการเคลื่อนกำลังเข้ามาจำนวนมาก

การดำเนินการทุกอย่างไม่ได้ทำเพียงลำพัง แต่ทำร่วมกับกองทัพ โดยมีเงื่อนไข 7 ประการในการหยุดยิงตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงไป และกองทัพบกได้เสนอ 6 เงื่อนไขเพิ่มเติม เพื่อให้แม่ทัพภาคที่ 1 และ 2 ไปเจรจาต่อจนได้ข้อยุติ ก่อนจะเข้าสู่เงื่อนไขที่ 7 คือการหารือในกลไก GBC (General Border Committee) ยืนยันว่าการเจรจาหยุดยิงไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะยุติลงทันที แต่เป็นกระบวนการที่ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากการสู้รบและสูญเสียชีวิต

พล.อ.ณัฐพล แสดงความกังวลต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยระบุว่ามีประชาชนเสียชีวิตแล้ว 14 ราย บาดเจ็บ 48 ราย และทหารเสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บกว่า 160 ราย ซึ่งหลายรายพิการหรือขาขาด ซึ่งเป็นกำลังหลักของครอบครัว โดยเน้นย้ำถึงความแตกต่างกับแนวคิดของผู้บัญชาการเหล่าทัพที่อาจไม่ได้มองในมิตินี้ และต้องการให้สังคมเข้าใจว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่กำลังพลแต่รวมถึงประชาชนด้วย

รมช.กลาโหม ฝากกระทรวงการต่างประเทศประณามกัมพูชาที่ไม่สนใจการยิงเป้าหมายพลเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล รวมถึงการตั้งอาวุธหนักในหมู่บ้านและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการวางกับระเบิดในหลายพื้นที่ ซึ่งผิดหลักอนุสัญญาออตตาวา พล.อ.ณัฐพล กล่าวย้ำว่า หากตัดสินใจให้ทหารเดินหน้าต่อไป จะมีลูกน้องต้องบาดเจ็บและขาขาดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ็บปวด และต้องคำนึงถึงครอบครัวของพวกเขาด้วย

“สื่อมวลชนเอารูปผู้สูญเสียมาให้ดู แต่ละคนรูปร่าง แข็งแรงหน้าตาดีแต่แขนขาด ถ้าเป็นลูกเป็นสามีท่านจะรู้สึกอย่างไร แต่ระดับผบ. เหล่าทัพจะไม่คิดแบบนี้ ซึ่งผมต้องคิดถึงทางเลือกว่ามีไหม อย่างน้อยการหยุดยิงชะลอความสูญเสียไปได้ แต่หยุดยิงแล้วจะต้องมีเงื่อนไขต่อไปที่ต้องคิดในระดับรัฐบาลหลายมิติ ซึ่งการที่ผมยอมรับร่วมเมื่อวานนี้เพราะเราทำภายใต้นโยบายรัฐบาล ด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจ คือทุกมิติที่ต้องชั่งน้ำหนัก ณ เวลาหนึ่งต้องชั่งน้ำหนักแบบนี้ แต่สัปดาห์หน้าอาจเป็นอีกแบบ ขอให้ทุกคนไม่ต้องกังวล “ พล.อ.ณัฐพล กล่าว

แม้จะมีการตกลงหยุดยิง แต่ พล.อ.ณัฐพล ยอมรับว่า “ไม่ได้เชื่อใจ (กัมพูชา) และต้องมีสิ่งพิสูจน์” กองทัพต้องไปเจรจาและตรวจสอบว่ามีการดำเนินการตามข้อตกลงหรือไม่ พร้อมยืนยันว่าหากมีการยิงเข้ามา ไทยก็พร้อมที่จะยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตัว แต่จะเป็นการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล เพื่อแสดงเจตนารมณ์ให้นานาชาติเห็นว่าประเทศไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ

“ถ้าไม่เจรจาหยุดยิงจะแรงกว่านี้ เป็นการยิงด้วยปืนเล็กอาวุธที่ไม่ใหญ่ ถ้ามีการใช้จรวดหลายลำกล้อง BSL03 หรือฝ่ายเรามีการใช้กำลังกองทัพ จะถือเป็นการละเมิดที่ทำให้นานาชาติเขาเห็น แต่ถ้าเมื่อเขาใช้ เราก็จะไม่หยุด จะมีการตอบโต้ที่สมน้ำสมเนื้อสมเหตุสมผล แสดงเจตนารมณ์ให้นานาชาติเห็นว่า ประเทศไทยเคารพในสังคมโลกตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ต้องเป็นขั้นตอนไป วันนี้แบบนี้พรุ่งนี้เป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ ขอให้เข้าใจว่าเราไม่ได้ไปเกี้ยเซี๊ยกับใครทั้งสิ้น ยึดหลักผลประโยชน์ของชาติ” พล.อ.ณัฐพล กล่าว

พร้อมกันนั้น พล.อ.ณัฐพล ยืนยันว่าการตัดสินใจทั้งหมดไม่มี “ใบสั่ง” ใดๆ และไม่สนใจเรื่องการเติบโตทางการเมือง แต่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก “คนอย่างผมไม่ได้สนใจว่าต้องมาเติบโตทางการเมือง…ถ้ายังอยู่ก็ทำให้ดีที่สุด คิดถึงผลประโยชน์ของชาติ” ท่านกล่าวทิ้งท้าย พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่ฟังคำแนะนำจากกระทรวงมหาดไทยในการปฏิบัติตัว และรัฐบาลจะเข้ามาดูแลช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่

“ต้องขออภัยจริง ๆ เมื่อวานตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจนกระทั่งกลับมาดัชนีความสุขผมไม่มีเลย กลับมาถึงดอนเมืองไปพบผู้ช่วยทหาร สูงสุดและ ผบ.เหล่าทัพว่า ถ้ามันออกอย่างนี้จะทำยังไง ซึ่งได้ช่วยให้ความเห็น ร่วมกันเพื่อไปดำเนินการต่อ” พล.อ.ณัฐพล กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ค. 68)