SCGP ตรึงเป้า EBITDA ปีนี้ 1.8 หมื่นลบ.แรงหนุนอาเซียนพุ่ง คุมเข้มลงทุน ลุยดีล M&A ดันกำไรโตยั่งยืน

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง [SCGP] กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในปี 68 ยังคงเป้า EBITDA 18,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 8,489 ล้านบาท เชื่อว่าจะได้แรงหนุนจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียที่ฟื้นตัวตั้งแต่ในไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทจะบันทึกงบการเงินจากการเข้าลงทุน 100% ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในเวียดนามที่จะเริ่มรับรู้ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง ขณะที่คาดว่าบริษัทจะสามารถปิดดีลร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ (M&P) ได้อย่างน้อย 1 ดีลในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Consumer Product ก่อนสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ SCGP แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/68 มีรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท ลดลง 2% ขณะที่ EBITDA 4,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/68 แต่ลดลงจาก 1,453 ล้านบาทในไตรมาส 2/67

นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ายอดขายทั้งปีจะเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน ทดแทนยอดขายในจีนที่จะลดลงจากกลยุทธ์การปรับพอร์ตมุ่งเน้นอาเซียนและตลาดในประเทศมากขึ้น ขณะที่ราคาขายคาดว่าปรับตัวลดลงตามตลาดภูมิภาค แต่ยังมั่นใจว่าจะรักษาระดับ EBITDA ได้ตามเป้าหมาย

ขณะที่บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนปี 68 ลงจาก 13,000 ล้านบาท เหลือ 10,000 ล้านบาท เนื่องจากได้เลือกลงทุนโครงการ M&P อย่างละเอียดมากขึ้น บางโครงการก็อาจเลื่อนเป็นปีหน้า รวมทั้งพิจารณาลงทุนเฉพาะโครงการที่จำเป็นและได้ผลตอบแทนเร็วก่อน ส่วนโครงการที่ยังมีความไม่แน่นอนจะชะลอไว้ก่อน เพื่อควบคุมงบลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในช่วงที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอน โดยครึ่งปีแรกใช้ลงทุนไปแล้ว 6,056 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโรงงาน Rigid Packaging ในสหรัฐฯ ยังเดินหน้าตามแผนงาน โดยได้พูดคุยกับพันธมิตรไปแล้ว 1 รายที่มีโรงงาน Rigid อยู่ระหว่างการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีความชัดเจนก็ต่อสหรัฐมีข้อสรุปเรื่องภาษีการค้าแล้ว

นายวิชาญ กล่าวว่า สำหรับการรับมือมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) คาดว่าประเทศที่ยังไม่ได้ข้อสรุปการเจรจากับสหรัฐจะถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าในกรอบ 15-20% ซึ่งปัจจุบัน SCGP มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐราว 4% ของรายได้รวม ผ่านการส่งออกสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบจำกัด

อย่างไรก็ตาม หากไทยถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามที่ 20% และอินโดนีเซียที่ 19% ลูกค้าปลายทางที่ต้องใช้สินค้าจากไทยจะมีราคาต้นทุนสูงกว่าราว 5% คิดเป็นมูลคาค่อนข้างมากและทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง แต่บริษัทได้มีการลงทุนทั้งในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทำให้สามารถรับมือประเด็นดังกล่าวได้ผ่านการ Reallocation Product ได้

“SCGP เราได้ปรับพอร์ตฟอลิโออยู่แล้ว ในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่ทำให้สามารถ Reallocation Product ของเราได้ แต่อย่าลืมว่าผลิตภัณฑ์ของเราขายไปพร้อมกับลูกค้า เพราะฉะนั้นการที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขัน การลดต้นทุนเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้น “

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกตลาดอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมใช้จุดแข็งจากห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น ฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ครอบคลุมพอร์ตสินค้าและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ที่สามารถผสานการผลิตและวัตถุดิบ รวมถึงวางแผนร่วมกับลูกค้า และการพิจารณาการจ้างผลิต เพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ในแต่ละตลาด

ด้านสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มีผลกระทบต่อบริษัทน้อย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทไม่ได้มีการลงทุนในกัมพูชา แต่มีลูกค้าที่ส่งออกสินค้าไปขายในกัมพูชา ก็ได้มีการเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากทางบกเป็นทางเรือทั้งหมด เนื่องจากการปิดด่านข้ามพรมแดนทางบก ทำให้ลูกค้าของบริษัทโดยรวมไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลัง คาดว่าอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเติมสต๊อกสินค้าในช่วงสิ้นปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป

บริษัทฯ ได้เดินหน้ากลยุทธ์ขยายธุรกิจในกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุด ได้ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอาเซียนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคตามกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินธุรกิจในเวียดนามที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาค และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและการแข่งขันในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ค. 68)