
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (29 ก.ค.) หลังจากบริษัทรายใหญ่หลายแห่งซึ่งรวมถึงยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) เปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ และรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
- ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,632.99 จุด ลดลง 204.57 จุด หรือ -0.46%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,370.86 จุด ลดลง 18.91 จุด หรือ -0.30% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,098.29 จุด ลดลง 80.29 จุด หรือ -0.38%
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 1.14% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวลง 0.73% ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.7% และ 1.17% ตามลำดับ
หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 7.5% และเป็นปัจจัยฉุดดัชนีดาวโจนส์มากที่สุด หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรที่น่าผิดหวัง
หุ้นโบอิ้ง (Boeing) ร่วงลง 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนต่อหุ้น 1.24 ดอลลาร์ แม้ตัวเลขดังกล่าวจะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.48 ดอลลาร์ โดยครั้งล่าสุดที่โบอิ้งรายงานผลกำไรเกิดขึ้นในปี 2561 แต่หลังจากนั้น ผลประกอบการของบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max ตกถึง 2 ครั้ง รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และการตรวจพบความบกพร่องในการผลิตเครื่องบิน
หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค (Merck & Co) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2/2568 และระบุว่าจะขยายเวลาระงับการจัดส่งวัคซีน Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ไปยังประเทศจีนออกไปจนถึงอย่างน้อยสิ้นปี 2568 เนื่องจากอุปสงค์อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ดิ่งลง 10.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2/2568 และไม่เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรและรายได้ตลอดปีงบการเงิน 2568 ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท
การร่วงลงของหุ้น UPS ได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มการขนส่งในดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Transport Average Index) ดิ่งลง 2.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.ปีนี้
หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภค ปรับตัวลง 0.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2568 ที่ต่ำกว่าคาด และประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าบางประเภทเพื่อรับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากร
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม Magnificent Seven ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงแอปเปิ้ล (Apple), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), เมตา (Meta) และอะเมซอนดอทคอม (Amazon.com)
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ (30 ก.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ และจับตาการแถลงข่าวของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด โดยตลาดคาดการณ์ว่าคณะกรรมการเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมครั้งนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค.จาก ADP, ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย., ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 275,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.437 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.50 ล้านตำแหน่ง
ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ได้เสร็จสิ้นลงแล้วในวันอังคาร ขณะที่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาได้รับรายงานจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังว่า การเจรจากับเจ้าหน้าที่จีนเป็นไปด้วยดี และทางสหรัฐฯ จะตัดสินใจว่าจะอนุมัติการขยายเวลาผ่อนผันภาษีศุลกากรออกไปอีกหรือไม่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 68)