
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า ในปี 68 ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศ มีแนวโน้มหดตัว 2.4%YOY โดยมีปัจจัยกดดันจากมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนที่หดตัว เป็นผลมาจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยในปี 68 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 191.8 ล้านตารางเมตร (-2.4%YOY) โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากปี 67 ที่ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังลดลงจากปีก่อนหน้า จากสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสมที่อยู่อาศัยยังอยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องจากในอดีต ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการลดลง
อย่างไรก็ดี ยังมีการใช้งานเพื่อปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, พื้นที่ค้าปลีก และโครงการ Mixed-use และ Community mall รวมถึงการปรับปรุงที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา แต่อุปสงค์การใช้งานเพื่อการปรับปรุงที่พักอาศัยของครัวเรือนยังเป็นไปอย่างจำกัดจากความระมัดระวังด้านการใช้จ่ายมากขึ้น
สำหรับราคากระเบื้องปูพื้น-บุผนังในปี 68 โดยเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 152 บาทต่อตารางเมตร (-0.5%YOY) จากแนวโน้มต้นทุนราคาพลังงานที่ลดต่ำลง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบการผลิตประเภทสินแร่ และเคมีภัณฑ์ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง
ในปี 68 อุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย ยังต้องเผชิญความท้าทายจากกระเบื้องราคาถูกจากจีน และเวียดนามเข้ามาตีตลาด โดยกระเบื้องนำเข้าจากจีนและเวียดนามส่วนใหญ่เป็นกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass product) ซึ่งมีราคาโดยเฉลี่ยถูกกว่าราคากระเบื้องที่ผลิตในประเทศไทยประมาณ 6-10% ส่งผลให้มีการนำกระเบื้องจากทั้งสองประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงปี 63-67 เฉลี่ยปีละประมาณ 40 ล้านตารางเมตร (+2.7CAGR) จนสามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สงครามการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้กระเบื้องปูพื้น-บุผนังจากต่างประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันกับไทย อาทิ จากจีน, เวียดนาม และอินเดีย มีความเสี่ยงที่จะถูกระบายเข้ามายังไทยเพิ่มมากขึ้นในปี 68 ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น การมุ่งแข่งขันด้านราคาของกระเบื้องกลุ่มแมส ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนังลดลงไปพร้อมกับอัตรากำไรที่อยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสินค้าให้มีความโดดเด่น มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภค เช่น กระเบื้องป้องกันรอยขีดข่วน และทำความสะอาดง่ายเพื่อตอบโจทย์บ้านที่มีสัตว์เลี้ยง การพัฒนาสินค้าเกรดพรีเมียมเพื่อเจาะตลาดที่มีกำลังซื้อสูง จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันแก่ผู้ผลิตได้ ประกอบกับการนำพลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกระบวนการผลิตในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ยังช่วยให้ต้นทุนด้านพลังงานของผู้ผลิตลดลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยประคองธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันของกระเบื้องนำเข้าที่มาตีตลาด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 68)