
นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล [MMM] เปิดเผยว่า บริษัทจะเดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (PO) เพื่อย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ LiVEx เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้
ทั้งนี้ MMM เป็นตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ และซื้อขายอสังหาฯ
บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ เช่น การวางเงินประกันสัญญาในธุรกิจการให้บริการที่ปรึกษางานขายโครงการ (BU1) และสัญญาการให้บริการบริหารงานขายโครงการ (BU2) รวมทั้งสัญญาการให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ (Hybrid) รวมถึงนำไปใช้เพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (BU3) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรองรับการขยายธุรกิจ ตอบโจทย์การเป็นผู้ให้บริการด้านตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร
นางสาวณิชา กล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวม ในประเทศให้ชะลอตัว แต่ดีมานด์ของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยยังเป็นทิศทางที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 68 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการรวม 339.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181.71%(YoY) ขณะที่กำไรสุทธิ 63.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190.93% (YoY) คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 18.58%
และจากความสามารถในการทำกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ MMM จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ถึง 6 ไตรมาสติดต่อกันนับตั้งเต่ปี 66 จนถึงงวดปัจจุบัน โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสม ณ วันที่ 30 มิ.ย. 68 ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท คิดเป็นวงเงินรวม 29.74 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 14 ส.ค.68 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค.68 เพื่อจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 ส.ค.68
สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/68 มาจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
1. ธุรกิจที่ปรึกษางานขายโครงการ (BU1) ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ แต่เพียง ผู้เดียวให้กับเจ้าของโครงการ เพื่อให้บริการแนะนำติดต่อผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงประสานงานเพื่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างผู้ซื้อและเจ้าของโครงการจนแล้วเสร็จ มีรายได้ 124.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.14%(YoY) จากยอดโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับรายได้ต่อยูนิตสูงขึ้นจากการปรับกลยุทธ์การขายทรัพย์ที่มีราคาสูงขึ้น และจากการที่บริษัทฯ ขายทรัพย์ที่อยู่ในระยะเวลาช่วงแรกของสัญญาสำหรับโครงการที่ทำสัญญา ในลักษณะ Hybrid – BU1 ได้เพิ่มขึ้น
2. ธุรกิจการบริหารงานขายโครงการ (BU2) ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายและรับประกันการขายแต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้บริการแนะนำ ติดต่อผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างผู้ซื้อและเจ้าของโครงการจนกว่าแล้วเสร็จ รวมถึงให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ Hybrid – BU2 มีรายได้ 189.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,354.58% (YoY) จากยอดโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับโครงการที่บริษัทฯ ให้บริการมีรายได้ต่อยูนิตสูงขึ้นจากการปรับกลยุทธ์การขายทรัพย์ที่มีราคาสูงขึ้น และจากการที่สามารถขายทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับโครงการที่ทำสัญญาในลักษณะ Hybrid – BU2
3. ธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (BU3) บริษัทฯ มีรายได้ 25.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.93% (YoY) จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ก.ค. 68)