SCB EIC ชี้ภาษี”ทรัมป์”กดดันเศรษฐกิจ CLMV แต่เวียดนามยังโดดเด่น ไทยเผชิญความเสี่ยงจากปัญหาชายแดน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่าเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ CLMV จะชะลอตัวลงเหลือ 5.1% ในปี 68 จาก 6.3% ในปี 67 เนื่องจากอัตราภาษีของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นภายใต้นโยบาย Trump 2.0 ซึ่งส่งผลกระทบต่อโมเดลการเติบโตของเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชาที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ การไหลเข้าของสินค้าราคาถูกจากจีนยังทำให้การผลิตในประเทศและความสามารถในการแข่งขันลดลง ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลต่อการเติบโตของ CLMV ด้วยเช่นกัน

ในปี 68 SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV จะชะลอตัวลง โดยกัมพูชาคาดว่าจะเติบโตที่ 3.9% (ลดลงจาก 6.0% ในปี 67), สปป.ลาว 3.6% (จาก 4.3%), และเวียดนาม 6.3% (จาก 7.1%) ขณะที่เศรษฐกิจของเมียนมาคาดว่าจะหดตัวที่ -0.5% (จากปีก่อนที่ขยายตัว 2.3%)

ทั้งนี้ เศรษฐกิจกลุ่มประเทศ CLMV จะเผชิญกับความเสี่ยงจากภายนอกตามการพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ รวมถึงความท้าทายเฉพาะของแต่ละประเทศ เช่น เวียดนามและกัมพูชามีความเสี่ยงด้านการค้าโลกจากการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูง ขณะที่เมียนมา กัมพูชา และสปป.ลาว เผชิญความเสี่ยงภายในประเทศ เช่น ความไม่มั่นคงทางการเมืองและเหตุแผ่นดินไหว ความขัดแย้งบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา เสถียรภาพด้านต่างประเทศที่เปราะบางใน สปป.ลาว ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้

อย่างไรก็ดี บางประเทศมีความเปราะบางด้านเศรษฐกิจมหภาคและการเงิน เช่น การใช้เงินดอลลาร์สหรัฐบางส่วนในระบบเศรษฐกิจบางประเทศ จึงอาจได้รับผลกระทบจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเผชิญกับความเสี่ยงเหล่านี้ แต่ปัจจัยสนับสนุนในช่วงครึ่งปีแรกอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจบางส่วนได้ โดยเฉพาะการเร่งส่งออกล่วงหน้า ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มดีขึ้น นอกจากนี้ เศรษฐกิจอาเซียนจะยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศในกลุ่มประเทศ CLMV ได้ในระดับหนึ่ง

 

*ปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศ

1.เวียดนาม: เศรษฐกิจของเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค CLMV โดยได้รับแรงหนุนจากบทบาทศูนย์กลางการผลิตที่น่าดึงดูดปัจจัยการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เจรจาจบได้ก่อนและมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLM และสิทธิประโยชน์จูงใจเม็ดเงินลงทุน เช่น จำนวนข้อตกลงการค้าเสรี (FTAs) และนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงรุก

2.กัมพูชา: เศรษฐกิจของกัมพูชาคาดว่าจะชะลอตัวลง จากผลกระทบของอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง และการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก รวมถึงแรงกดดันเพิ่มเติมจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนราคาถูก ความตึงเครียดบริเวณชายแดนกับไทยที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ จะก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้าและเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม การส่งออกและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งในช่วงต้นปี 68 ยังช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาพรวมของทั้งปีไว้ได้บ้าง ขณะที่เสถียรภาพทางการคลังยังเอื้อให้ภาครัฐสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้หากจำเป็น

3. สปป.ลาว: สปป.ลาว อาจจะเผชิญกับความเสี่ยงทางตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไม่มากนัก แต่เศรษฐกิจภายในยังคงมีข้อจำกัดจากปัญหาหนี้ต่างประเทศสะสมสูงและภาคการเงินที่ยังเปราะบางจากปัญหาหนี้เสีย แม้สถานการณ์เงินเฟ้อสูงและปัญหาเงินกีบที่อ่อนค่าเร็วจะปรับดีขึ้นบ้าง รวมถึงความสามารถในการรองรับแรงกระแทกจากภายนอกที่ทยอยเพิ่มขึ้นสะท้อนจากสัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเทียบมูลค่านำเข้าต่อเดือน แต่ปัญหาความเปราะบางเชิงโครงสร้างเหล่านี้ยังคงเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

4. เมียนมา: เศรษฐกิจของเมียนมาคาดว่าจะหดตัวในปีนี้ เนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเมือง ความขัดแย้งภายในที่ยังคงดำเนินอยู่ และเหตุแผ่นดินไหวล่าสุด ยังคงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางธุรกิจและบั่นทอนการบริโภคและการลงทุน ภายใต้ข้อจำกัดด้านนโยบายการเงินและพื้นที่ทางการคลัง รวมถึงสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระดับสูง โอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงมีค่อนข้างจำกัด

 

*การค้า-การลงทุนระหว่างไทยกับ CLMV มีทิศทางชะลอตัว

SCB EIC คาดว่า แนวโน้มการค้าระหว่างไทยกับประเทศ CLMV จะชะลอลง จากอุปสงค์ในภูมิภาคที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก ความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชากับไทย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านลบมากขึ้น แม้มูลค่าเม็ดเงินลงทุนทางตรงไหลออกจากไทยไปยังภูมิภาค CLMV กลับมาสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 แล้ว และกระจายไปในหลายสาขาธุรกิจ เช่น สาขาการเงิน การประกันภัย และการผลิตอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และความระมัดระวังของนักลงทุนในบรรยากาศโลกเช่นนี้ อาจทำให้แนวโน้มการลงทุนจากไทยชะลอตัวลง ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงหลายด้าน แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่หากการปิดด่านชายแดนยังคงยืดเยื้ออาจกดดันแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศได้

นอกจากนี้ บรรยากาศการลงทุนและการท่องเที่ยวอาจชะลอตัวลง จากความไม่มั่นคงหลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น อย่างไรก็ตาม หากแรงงานกัมพูชาในไทยทยอยเดินทางกลับประเทศมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทยจำกัด เนื่องจากยังสามารถหาแรงงานสัญชาติอื่นทดแทนได้

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ก.ค. 68)