
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงกดดันตลาดโลก “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าจับตาในฐานะ “หลุมหลบภัย” สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง หรือเมื่อเศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอน หรือช่วงที่มีความตึงเครียดจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์สูง หรือช่วงที่ปัจจัยต่าง ๆ เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งในอดีตทองทำมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (Sharpe Ratio)
TISCO ESU จึงแนะนำให้ “ทยอยลงทุน” อย่างระมัดระวังในช่วงที่ราคาปรับฐาน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตในระยะกลางถึงยาว โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ 1) การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ที่ยังมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนความต้องการบริหารความเสี่ยงในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีความผันผวนสูง 2) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่อาจรุนแรงขึ้น ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวันซึ่งเป็นความเสี่ยงระยะยาว รวมถึงความไม่แน่นอนในกรณีรัสเซีย- ยูเครน ที่แม้จะดูมีความคืบหน้า แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และ 3) ภาระหนี้ของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการเสนอแผนเพิ่มการขาดดุลการคลังอีกกว่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯในระยะยาว
อย่างไรก็ดี แม้ราคาทองคำจะปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยในเดือนกรกฎาคมราคาทองคำปรับขึ้นสู่ระดับ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จากแรงซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงของนักลงทุน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคณะทำงานออกมากดดันนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลต่อการกลับมาใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 1 สิงหาคม
ในระยะสั้น TISCO ESU ประเมินว่า ราคาทองคำอาจมี Upside ค่อนข้างจำกัด หากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองเริ่มคลี่คลาย ซึ่งจากแบบจำลองที่ใช้วิเคราะห์ราคาทองคำเทียบกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจ พบว่า ราคาทองคำมีความแปรผัน (Premium) ราว 10% จากปัจจัยมหภาค ประกอบด้วย 1) สัญญาการซื้อทองคำสุทธิล่วงหน้า 2) ดัชนีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ 3) คาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาว 4.1) ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและ 4.2) ดัชนี S&P500 5) ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และ 6) ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้ภาคเอกชนชั้นดีและพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread)
“ปัจจัยมหภาคที่ผลักดันราคาทองคำให้สูงกว่าระดับพื้นฐานมีหลายด้าน ซึ่งจากแบบจำลองที่เรานำมาใช้ บ่งชี้ว่า ราคาทองคำในปัจจุบันสูงกว่าระดับที่ควรจะเป็นตามปัจจัยเศรษฐกิจราว 10% และยังสูงกว่าค่าคาดการณ์ของตลาด ณ สิ้นปี 2568 ราว 6% ซึ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังปกคลุมเศรษฐกิจโลก เราคาดว่าราคาทองคำจะทรงตัวในกรอบกว้างประมาณ 3,200 – 3,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในช่วงที่เหลือของปีนี้” นายคมศร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ก.ค. 68)