
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยภายว่า สถานการณ์ภาพรวมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ประเทศ ยังคงวางกำลังในพื้นที่ที่มั่นของตนเอง ไม่มีการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ โดยมีรายงานว่า ทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการดัดแปลงที่มั่น และมีการเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่หลัก ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องโดนเอาว์ ช่องคานม้า ช่องตาเฒ่า สัตตะโสม และภูผี เป็นการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาทดแทนกำลังที่สูญเสียในแต่ละพื้นที่ ถือเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าฝ่ายกัมพูชาได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก
ยันไทยดูแล “เชลยศึก” ตามหลักสากล
ส่วนการปฏิบัติต่อเชลยศึกที่ไทยได้ควบคุมตัวไว้ 20 นาย และได้ส่งกลับไปแล้ว 2 นาย เพราะบาดเจ็บและมีอาการป่วยทางจิต และยังเหลือควบคุมตัวอีก 18 นายนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฝ่ายกัมพูชา ได้ส่งคำร้องไปยังสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยได้ควบคุมทหารกัมพูชา ซึ่งผิดกฏหมายระหว่างประเทศ ถือว่าเป็นความพยายามของกัมพูชาในการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง
พล.ร.ต.สุรสันต์ ชี้แจงว่า การปฏิบัติของฝ่ายไทยต่อเชลยศึกที่ผ่านมา ได้มีการเคลื่อนย้ายเชลยศึกทั้งหมดออกจากพื้นที่ที่เสี่ยงทันที และจัดให้แพทย์ตรวจร่างกายเชลยศึก มีการจัดหาอาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้าอย่างเหมาะสม และเพียงพอ และเมื่อสภาวะการรบสิ้นสุดลง หน้าที่ของประเทศควบคุมเชลยศึกเหล่านี้ ต้องทำหน้าที่ปล่อยตัวเชลยศึกกลับประเทศ แต่ปัจจุบันสถานะยังไม่สิ้นสุดลง
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือไปถึง UNHCR ประท้วงต่อข้อกล่าวหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา และเพื่อเป็นการแสดงความโปร่งใสและเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาคมโลกทราบ ในสัปดาห์นี้ฝ่ายไทยได้เชิญผู้แทนจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ รวมถึง UNHCR ลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวด้วย
ส่วนประเด็นของศพทหารกัมพูชานั้น สังเกตได้ว่ารัฐบาลและกองทัพกัมพูชาเพิกเฉย และละเลยต่อการปฏิบัติต่อศพของทหารฝ่ายตนเอง ซึ่งสะท้อนต่อการละเลยศักดิ์ศรีของความเป็นทหารประเทศตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และยังกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขลักษณะข้ามแดน เพราะการปล่อยศพไว้โดยไม่เก็บกู้ อาจส่งผลต่อสุขลักษณะในพื้นที่ และมีโอกาสแพร่เชื้อโรคเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่ และกลายเป็นประเด็นความเดือดร้อนที่ลุกลามข้ามพรมแดนด้วย
“ประเทศไทย ยึดหลักมนุษยธรรมเสมอมา และแม้ว่าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็ยังเคารพต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ว่าผู้นั้นจะสังกัดชาติใด โดยการปฏิบัติที่ผ่านมา เราเล็งเห็นว่าการปฏิบัติต่อศพของฝ่ายกัมพูชา ละเมิดต่อหลักมนุษยธรรมสากลขั้นพื้นฐาน นั่นคือการทอดทิ้งร่างผู้เสียชีวิต ซึ่งก็คือทหารของตนเอง” พล.ร.ต.สุรสันต์
โฆษก ศบ.ทก. กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีการตรวจพบการบินโดรนผิดกฏหมาย ซึ่งปัจจุบัน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.-15 ส.ค. 68 โดยผู้ฝ่าฝืนต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะทหารผ่านศึกและนักศึกษาวิชาทหารทั่วประเทศ อาศัยความรู้ ความสามารถในการเป็นทหารได้ช่วยกันตรวจสอบ
“โดยเฉพาะในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 สอดส่องดูว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีในพื้นที่ดังกล่าวหรือไม่ และหากมีการตรวจพบขอให้แจ้งไปที่ศูนย์ต่อต้านโดรน หรือศูนย์แจ้งเหตุใกล้พื้นที่ของตนเอง เช่น สถานีตำรวจท้องที่ หรือหน่วยทหารในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อช่วยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนมาตรการเชิงรุก ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการครอบครองโดรนทั่วประเทศด้วย” โฆษก ศบ.ทก.ระบุ
พร้อมกันนี้ โฆษก ศบ.ทก. ได้ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ในการงดผลิต และเผยแพร่ข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ ซึ่งมีผลกระทบต่อความวิตกกังวลประชาชนในพื้นที่ เช่น เฟกนิวส์ เรื่องการเคลื่อนย้ายกำลังทหารในพื้นที่ ทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความตื่นตะหนก
ด้านการต่างประเทศ ยันใช้ช่องทางการทูตและเวทีระหว่างประเทศ ชี้แจงต่อประชาคมโลก
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม โฆษกศบ.ทก. ด้านต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการผ่านเอกอัคราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ต่อประชาคมโลก ซึ่งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เอกอัคราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก รวมถึงผู้บริหารระดับสูง ยังใช้โอกาสในการชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทยผ่านช่องทางการทูต และเวทีระหว่างประเทศที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง
และในวันนี้เวลา 18.00 น. ทีมโฆษก ศบ.ทก. จะไปร่วมเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ การรายงานข่าว และแนวทางการสื่อสารสาธารณะ เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งเปิดให้สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงสาธารณะชนร่วมรับฟัง เป็นอีกช่องทางสำคัญที่จะได้พูดคุยถึงแนวทางการทำงาน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนรับฟังความเห็น มีปฏิสัมพันธ์กับสื่อมวลชนอย่างเปิดเผยและสร้างสรรค์เกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น สงครามข้อมูลข่าวสาร และแนวทางบริหารสถานการณ์ร่วมกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 68)