พรรคส้ม แนะ 7 มาตรการรองรับ หวั่นดีล “ภาษีทรัมป์” กระทบชาวไร่ข้าวโพด

นายณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แสดงความเห็นกรณีรัฐบาล โดยนายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะผู้นำการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ กล่าวถึงข้อตกลงระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่ไทยจะนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ 30% หรือประมาณ 3 ล้านตัน ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรม หรือข้าวโพด GMOs ว่า การตกลงของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ จะสร้างผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด โดยพรรคประชาชน มีข้อเสนอต่อไปนี้

1. การนำเข้าข้าวโพด 30% หรือประมาณ 3 ล้านตัน จะกระทบต่อราคาข้าวโพด และรายได้ของเกษตรกรในประเทศอย่างแน่นอน หากไม่มีมาตรการรองรับที่แข็งแกร่งพอ และยังอาจกระทบทางอ้อมต่อราคาพืชอาหารสัตว์อื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ การนำเข้าข้าวโพด GMOs ยังต้องมีมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ และการตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใส และชัดเจน

2. รัฐบาลต้องเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด และผู้ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดอย่างเปิดเผย โดยด่วนที่สุด เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เคยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด และผู้ที่เกี่ยวข้องมาก่อนเลย

3. หลังจากการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนแล้ว รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการไตรภาคีระหว่างเกษตรกร (ผู้ปลูกข้าวโพด) ผู้ประกอบการ (ข้าวโพด และอาหารสัตว์) และรัฐ หรือภาคี Farm-Feed-Food Fair Coalition เพื่อผนึกกำลังกัน และสร้างความเป็นธรรมในการเจรจา และหาข้อยุติต่าง ๆ ทั้งกลไกภายในประเทศ และการเจรจากับสหรัฐฯ ต่อไป

4. การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จำเป็นจะต้องเตรียมมาตรการรองรับที่ดีพอ รัฐบาลต้องกำหนดกรอบเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับตัวของเกษตรกรในประเทศ โดยไม่ควรนำเข้าในช่วงปีการเพาะปลูก 2568/69 โดยเด็ดขาด และหากจะมีการนำเข้าต่อไป ก็ควรกำหนดช่วงห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่เกษตรกรในประเทศเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกร และในช่วงแรก ควรให้มีการนำเข้าผ่านองค์การคลังสินค้าเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อการรับซื้อข้าวโพดในประเทศ

5. รัฐบาลควรจัดเตรียมมาตรการและงบประมาณ ในการสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพการผลิตข้าวโพด และลดต้นทุนการปลูกข้าวโพดในทันที โดยใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมไว้ มาให้การสนับสนุนแบบมีเป้าหมาย (หรือ Strategic subsidies) เพื่อเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรสามารถปรับตัว รับมือ และแข่งขันได้ดีขึ้นในอนาคต

6. รัฐบาลควรจัดทำระบบรายงานสาธารณะ หรือ Public Dashboard ที่เปิดเผยทั้งราคาข้าวโพด หมู ไก่ ผลผลิตทางการเกษตร ปริมาณสต็อกวัตถุดิบอาหารสัตว์ และต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ แบบรายสัปดาห์ เพื่อให้ทั้งระบบโปร่งใส ช่วยเฝ้าระวัง และเตือนภัยได้อย่างทันการณ์ นอกจากนี้ รัฐบาลควรประเมินผลกระทบต่อเกษตรกรจากการนำเข้า และมาตรการต่างๆ ในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงกลไกให้มีความเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด

7. รัฐบาลควรพิจารณารูปแบบกลไกแบ่งปันผลประโยชน์ตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นธรรม กรณีที่สินค้าปลายน้ำมีต้นทุนถูกลง ราคาสูงขึ้นมาก ก็ควรแบ่งกำไรส่วนหนึ่งกลับไปช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ซึ่งเป็นผู้ผลิตต้นน้ำด้วย

“นอกจากผู้ปลูกข้าวโพดแล้ว แม้แต่ชาวนา ก็จะได้รับผลกระทบ เพราะข้าวโพดนำเข้าจะกดราคารำข้าว และปลายข้าว ที่เอาไปทำอาหารสัตว์ ที่ผ่านมา รมว.คลัง เพียงพูดกว้าง ๆ แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดแต่ละภาคเศรษฐกิจ จึงเห็นว่าควรเปิดเผยส่วนนี้โดยเร็ว เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคเศรษฐกิจ ได้เตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้” นายณรงเดช กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ส.ค. 68)