
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ในวันนี้ (5 ส.ค.) โดยระบุว่า กรรมการบางคนมองว่า BOJ ยังคงมีโอกาสที่จะกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อความขัดแย้งด้านการค้าที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลายลง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการทำข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ได้ช่วยขจัดอุปสรรคสำคัญในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นในเดือนที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นจากเดิมที่ 27.5% ให้เหลือเพียง 15% ขณะเดียวกัน ภาษีสินค้าญี่ปุ่นรายการอื่น ๆ ที่มีกำหนดจะเริ่มบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ ก็ถูกปรับลดจาก 25% เหลือ 15% เช่นกัน
ในการประชุมเมื่อวันที่ 16-17 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% และตัดสินใจที่จะลดความเร็วในการปรับลดขนาดงบดุลในปีหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่า BOJ ต้องการดำเนินการอย่างระมัดระวังในการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่
รายงานการประชุมระบุว่า ในการประชุมครั้งนี้ กรรมการหลายคนเห็นว่า BOJ ยังต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะขาลง แต่ในขณะเดียวกันกรรมการ BOJ มองว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าคาดการณ์ โดยกรรมการบางคนเตือนว่าราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในอนาคต
“เมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนที่สูง BOJ น่าจะระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้อีกระยะหนึ่ง แต่ BOJ ก็ต้องตอบสนองอย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว และกลับสู่ช่วงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยขึ้นอยู่กับนโยบายของสหรัฐฯ” กรรมการคนหนึ่งกล่าว
ในขณะที่กรรมการคนอื่น ๆ กล่าวว่า BOJ อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแน่วแน่แม้ความไม่แน่นอนยังคงสูง เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
การแสดงความเห็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการ BOJ กำลังให้ความสนใจมากขึ้นต่อความเสี่ยงที่จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปูทางให้ BOJ ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แม้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในความไม่แน่นอนก็ตาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ส.ค. 68)