“กอบศักดิ์” เตือนอย่าประมาทแม้ปิดดีลภาษีสหรัฐได้แต่ยังเผชิญ 3 ปัญหาใหญ่ แนะกนง.ลดดอกเบี้ย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยในงานมเสวนา Trump’s Tariffs: ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร ว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 น่าจะเติบโตที่ 1.5-2% หลังจากไทยสามารถบรรลุกข้อตกลงด้านภาษีกับสหรัฐที่ 19% ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าข้อเสนอของไทยจะไม่ได้ดีเท่าเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่เสนอเปิดตลาดภาษี 0% ทุกรายการให้กับสหรัฐฯ แต่ไทยก็ยังได้อัตราภาษีที่สามารถแข่งขันกับภูมิภาคได้ และต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างจีนหรืออินเดีย ทำให้ภาคการส่งออกไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้

“ผมว่าเราสอบกลางเทอมไม่แพ้เพื่อน แต่เรายังมีสอบปลายเทอมอีก ตอนนี้จึงอยากให้ทุกคนเตรียมการหาตลาดอื่นสำหรับระยะยาว เพื่อไม่ให้ไทยต้องพึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป ซึ่งผมมองว่าอินเดียคือตลาดที่น่าสนใจ รวมถึงอาเซียน และจีนที่จะดีขึ้นหลังจากนี้” นายกอบศักดิ์ กล่าว

หลายประเทศยังคงเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาข้อสรุปที่ดีกว่านี้ ทำให้เราอาจจะยังไม่ได้เห็นตัวเลขภาษีที่แท้จริง โดยตัวเลข 19% ของไทยนั้นยังเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้น ซึ่งในอนาคตอาจมีเรื่องของ BRICS, อัตราภาษีตามอุตสาหกรรม หรือค่าสินค้าส่งผ่านแดน (Transshipment) ที่ 40% เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ซึ่งรายละเอียดที่ยังคลุมเครืออยู่ตอนนี้จะมีนัยสำคัญ

ณ ตอนนี้ ความหมายของคำว่า Transshipment ยังหมายถึงสินค้าที่ส่งเข้ามาเทียบท่าไทยและถูกส่งต่อไป แต่ในอนาคต นายกอบศักดิ์มองว่าคำนี้อาจรวมไปถึงการนำชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาประกอบในประเทศด้วย ซึ่งสหรัฐฯ อาจรีบประกาศความหมายใหม่เพื่อปิดกั้นการใช้ข้อนี้เป็นช่องโหว่ และอาจกลับมาตรวจสอบเป็นรายโรงงานอีกครั้ง ทำให้ผู้ผลิตในไทยที่ยังใช้ชิ้นส่วนจากจีนมากต้องระวัง

สำหรับผลกระทบจากดีลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลอาจไม่ต้องเยียวยาภาคส่งออกมากเท่าที่เคยประเมินไว้เดิม เนื่องจากเราได้อัตราภาษีต่ำกว่าที่คาดการณ์เดิมที่ 25% จึงควรเตรียมการจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะภาคเกษตร จากการเปิดรับสินค้าสหรัฐฯ

รวมถึง SME ไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยทางออกที่ง่ายที่สุดคือการกำหนดให้ 50% ของการจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐเป็นสินค้าของ SME ไทยและผลิตในประเทศเป็นสำคัญ ใกล้เคียงกับกฎเกณฑ์ที่เคยทำในอดีต รวมถึงการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วย SME ได้ดี และสนับสนุนให้ SME สามารถได้รับสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเพื่อช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย

นอกจากนี้ ยังอยากให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยลงตั้งแต่เนิ่น ๆ ประมาณ 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยมองว่าตอนนี้ไทยยังไม่มีปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจก็ไม่ได้ดี จึงเป็นโอกาสที่จะช่วยประคองโมเมนตัมที่พอมีอยู่ในตอนนี้ และซื้อประกันให้กับประเทศหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา

“รถยนต์ถ้าเหยียบคันเร่งไปเรื่อย ๆ มันก็ไปต่อได้ แต่ถ้าจะสตาร์ตรถยนต์ที่หยุดไป ก็ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก เลยอยากให้รัฐบาลคิดถึงเรื่องนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและใช้นโยบายการคลังเพื่อให้เศรษฐกิจพอไปได้ก่อน ตอนนี้การรอดูอาจไม่ใช่คำตอบ เราต้องสร้างภูมิต้านทานให้กับประเทศ” นายกอบศักดิ์ กล่าว

ในส่วนของสถานการณ์การเมืองตอนนี้ นายกอบศักดิ์ มองว่าความไม่แน่นอนจะทำให้กระบวนการของข้าราชการเกิดความล่าช้า ไม่กล้าดำเนินงานจนกว่าจะได้คำตอบว่ารัฐบาลจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงอาจทำได้ยาก ดังนั้น เราควรสรุปเรื่องนี้ให้เร็ว เพราะเรามีปัญหาจากทั้งระบบนานาชาติ ชายแดน และภายในประเทศ

และที่สำคัญในตอนนี้คือพวกเราไม่ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีของโลกเลย ในขณะที่ใช้เวลาอยู่แต่กับเรื่องภาษีสหรัฐฯ โดยนายกอบศักดิ์แนะนำให้ผู้ประกอบการไทยปรึกษาธนาคารเพื่อขอสินเชื่อสำหรับการพัฒนาระบบโรงงาน หรือลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามาจากการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ส.ค. 68)