
อาเซียนถือเป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ภาษีตอบโต้หรือภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับบรรดาประเทศคู่ค้า จะทำให้การส่งออกของอาเซียนไปยังสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่าง ๆ จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวเลขภาษีที่ลดลง หรืออย่างน้อยก็ต่ำกว่าประเทศอาเซียนด้วยกัน เพราะถึงแม้อาเซียนจะเป็นกลุ่มความร่วมมือ แต่ขณะเดียวกัน แต่ละประเทศสมาชิกต่างก็เป็นตลาดสินค้านำเข้าที่สำคัญของสหรัฐฯ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแข่งขันกันเองด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) แนะว่า อาเซียนจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการหาตลาดใหม่ หรือกระชับความสัมพันธ์กับตลาดเดิมที่มีอยู่ เพื่อชดเชยการสูญเสียการส่งออกไปยังสหรัฐฯ พร้อมแนะ 6 แนวทางสำหรับอาเซียนในการรับมือกับภาษีสหรัฐฯ ร่วมกัน
ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่ออาเซียน
ก่อนอื่น เรามาทบทวนกันว่า แต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีไปประเทศละเท่าไหร่
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าหลากหลายชนิดจากหลายประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าของสหรัฐฯ โดยประเทศอาเซียนต่างโดนภาษีกันถ้วนหน้า มากน้อยแตกต่างกันตามลำดับ ดังนี้ กัมพูชา (49%) สปป.ลาว (48%) เวียดนาม (46%) เมียนมา (44%) ไทย (36%) อินโดนีเซีย (32%) มาเลเซีย (24%) บรูไน (24%) ฟิลิปปินส์ (17%) สิงคโปร์ (10%)
ก่อนที่ในเวลาต่อมา ปธน.ทรัมป์จะประกาศชะลอการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวออกไป 90 วันเป็นวันที่ 9 ก.ค. พร้อมเปิดทางให้ประเทศต่าง ๆ เจรจาต่อรองภาษีได้ ซึ่งผลปรากฏว่า เวียดนามเป็นชาติแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ ทำให้อัตราภาษีของเวียดนามลดลงมาอยู่ที่ 20% ขณะเดียวกัน การคว้าดีลของเวียดนามสร้างความกดดันไม่น้อยให้ประเทศอื่น ๆ ที่ยังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ลุล่วง เพราะเท่ากับว่าประเทศของตนจะเสียเปรียบการแข่งขันให้กับเวียดนาม
แต่ก่อนที่จะถึงเส้นตายเพียงไม่กี่วันก็มีเรื่องให้ต้องลุ้นระทึกกันอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ปธน.ทรัมป์ขีดเส้นตายใหม่ในการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ออกไปเป็นวันที่ 1 ส.ค. และยังได้ส่งจดหมายถึงผู้นำ 14 ประเทศเพื่อแจ้งอัตราภาษีใหม่ ซึ่ง 6 ประเทศในจำนวนนี้ล้วนเป็นชาติสมาชิกอาเซียน บางประเทศก็ได้รับข่าวดี อัตราภาษีลดลง เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ขณะที่บางประเทศต้องปาดเหงื่อ เพราะไม่ได้ลดภาษี เช่น ไทย อินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ยิ่งหนาว เพราะถูกขู่เก็บภาษีเพิ่ม
อย่างไรก็ดี หลังเดินหน้าเจรจาต่ออย่างเข้มข้น อินโดนีเซียกลายเป็นประเทศที่สองในอาเซียนที่สามารถเคาะดีลกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ ส่งผลให้อัตราภาษีลดลงมาอยู่ที่ 19% และฟิลิปปินส์ตามมาติด ๆ เป็นประเทศที่สามในอาเซียนที่คว้าข้อตกลงได้ก่อนเส้นตาย โดยอัตราภาษีของฟิลิปปินส์ลดลงมาอยู่ที่ 19% เช่นกัน
จนกระทั่งวันที่ 31 ก.ค. ก่อนถึงกำหนดเส้นตายวันเดียว ในที่สุดปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2568
สำหรับภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดใช้กับประเทศในอาเซียนเมื่อวันที่ 2 เม.ย. เทียบกับอัตราภาษีที่ปรับแก้ไขล่าสุด มีดังนี้:
กัมพูชา: 49% >> (36%) >> 19%
ลาว: 48% >> 40%
เวียดนาม: 46% >> 20%
เมียนมา: 44% >> 40%
ไทย: 36% >> (36%) >> 19%
อินโดนีเซีย: 32% >> (32%) >> 19%
มาเลเซีย: 24% >> (25%) >> 19%
บรูไน: 24% >> 25%
ฟิลิปปินส์: 17% >> (20%) >> 19%
สิงคโปร์: 10% (ภาษีศุลกากรพื้นฐาน)
สูงสุดแพ้ – ต่ำสุดได้เปรียบ (?)
อาจกล่าวได้ว่า สปป.ลาวและเมียนมาถือเป็น “ผู้แพ้” ในสังเวียนนี้ เนื่องจากต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสหรัฐฯ สูงถึง 40% ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของสองประเทศที่ปัจจุบันก็เป็นรองประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนอยู่แล้ว
ขณะที่บรูไนได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่ 25% แต่ก็ยังนับว่าเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
ในทางกลับกัน สิงคโปร์ได้รับอัตราภาษีต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียนที่ 10%
อย่างไรก็ตาม เวิน จง เจีย นักวิจัยจาก Economist Intelligence Unit (EIU) ชี้ว่า การส่งออกของสิงคโปร์มีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่า นอกจากนี้ ยาและเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักสองชนิดของสิงคโปร์ ไม่ใช่สินค้าส่งออกสำคัญของประเทศอาเซียนอื่น ๆ ทำให้สิงคโปร์ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้
ไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจน
หากไม่นับรวมสิงคโปร์ ประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญของอาเซียนล้วนถูกกำหนดภาษีในอัตราเท่ากันที่ 19% ซึ่งได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา
ขณะที่เวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก ต้องรับมือกับอัตราภาษีสูงกว่าเล็กน้อยที่ 20% อย่างไรก็ตาม โจซัว ปาร์ดีดี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Permata Bank ระบุว่า ความแตกต่างเพียง 1% นี้ “ไม่มีนัยสำคัญ” และ “ไม่เพียงพอ” ที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ได้ โดยเขาอธิบายว่าความสามารถในการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลิตภาพ ต้นทุนโลจิสติกส์ คุณภาพของสินค้า และความสัมพันธ์ทางธุรกิจด้วย
“เวียดนามยังคงมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และรองเท้า” โจชัวกล่าว “ความแตกต่างของภาษีเพียงเล็กน้อยอาจไม่มากพอที่จะทำให้ปริมาณการค้าจากเวียดนามย้ายไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น”
คนละกระบวนท่า แต่ผลลัพธ์เดียวกัน
ตลอดหลายเดือนนับตั้งแต่ปธน.ประกาศภาษีศุลกากรครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต่างพึ่งพาการส่งออกได้พยายามทุกกระบวนท่าเพื่อขอปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า แม้แต่ละประเทศใช้กลยุทธ์การเจรจาที่แตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่หนีไปกว่ากันนัก ซึ่งในที่นี้หมายความถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่โดนภาษีเท่ากันที่ 19%
อินโดนีเซียทุ่มสุดตัว
เวิน จง เจีย นักวิจัยจาก Economist Intelligence Unit (EIU) กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศหนึ่งที่เสนอ “ข้อแลกเปลี่ยนที่ใจกว้าง” แก่สหรัฐฯ กล่าวคือ สินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 99% ที่ส่งไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี และอินโดนีเซียยังต้องยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในหลายภาคส่วน เช่น สินค้าเกษตร ยานยนต์ และเทคโนโลยี นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังตกลงที่จะซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ เป็นมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ ตลอดจนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านดอลลาร์ และพลังงานมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
เจียชี้ด้วยว่า การที่อินโดนีเซียยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการผ่อนปรนข้อกำหนดการใช้สัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (local content requirements) ซึ่งเป็นนโยบายที่อินโดนีเซียใช้มาอย่างยาวนานเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศนั้น อาจทำให้การดำเนินยุทธศาสตร์ที่คล้ายกันในอนาคต หรือใช้กับประเทศอื่น กลายเป็นเรื่องยากขึ้น
มาเลเซียได้เปรียบเพราะเซมิคอนดักเตอร์
ด้านมาเลเซียตกลงที่จะผ่อนคลายอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีบางอย่าง เช่น การลดความยุ่งยากในการจดทะเบียนอาหารฮาลาลและโรงงานผลิตอาหาร รวมถึงการซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 30 ลำ และการยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการ เพื่อแลกกับอัตราภาษีที่ 19% แทนที่จะเป็น 25%
อย่างไรก็ตาม มาเลเซียปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการยกเว้นภาษีแบบครอบคลุม โดยมาเลเซียไม่ยอมยกเลิกภาษีสำหรับรถยนต์ ยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังไม่ยอมผ่อนคลายเรื่องการถือครองหุ้นของต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อรักษาพื้นที่แข่งขันสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่น
เจียมองว่า มาเลเซียมีอำนาจต่อรองมากกว่าอินโดนีเซีย เนื่องจากมาเลเซียมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้สหรัฐฯ หาตลาดมาทดแทนได้ยากในระยะสั้น โดยการบรรจุและทดสอบไมโครชิปประมาณ 10% ของโลกอยู่ที่มาเลเซีย อีกทั้งประมาณ 20% ของเซมิคอนดักเตอร์ที่สหรัฐฯ นำเข้านั้นมาจากมาเลเซีย ในทางกลับกัน สินค้าส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯ เช่น เสื้อผ้า อิเล็กทรอนิกส์ และน้ำมันปาล์ม มีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์น้อยกว่า จึงทำให้อินโดฯ มีอำนาจต่อรองน้อยกว่า
ไทยยอมเปิดตลาด แต่ยืนยันปกป้องเกษตรกร
สำหรับประเทศไทย เพื่อลดอัตราภาษีจาก 36% ลงมาอยู่ที่ 19% รัฐบาลไทยตกลงที่จะยกเลิกภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ มากกว่า 10,000 รายการ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ จากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ และให้คำมั่นว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์พลังงานและอากาศยานจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยยังเสนอลดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 70% ภายใน 5 ปี ยังไม่รวมไปถึงอุปสรรคทางการค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษี ตลอดจนการลงทุนต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้ยกเลิกภาษีสำหรับสินค้าที่อ่อนไหวหรือสินค้าที่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ โดยถึงแม้มีการขยายโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ แต่ไทยยังคงภาษีเดิมไว้กับสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป และอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อปกป้องเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) กล่าวในงานเสวนา “Trump’s Tariffs: ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ว่า การที่ไทยสามารถบรรลุข้อตกลงด้านภาษีกับสหรัฐที่ 19% ถือเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าข้อเสนอของไทยจะไม่ได้ดีเท่าเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่เสนอเปิดตลาดภาษี 0% ทุกรายการให้กับสหรัฐฯ แต่ไทยก็ยังได้อัตราภาษีที่สามารถแข่งขันกับภูมิภาคได้ ทำให้ภาคการส่งออกไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
“ผมว่าเราสอบกลางเทอมไม่แพ้เพื่อน แต่เรายังมีสอบปลายเทอมอีก ตอนนี้จึงอยากให้ทุกคนเตรียมการหาตลาดอื่นสำหรับระยะยาว เพื่อไม่ให้ไทยต้องพึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป ซึ่งผมมองว่าอินเดียคือตลาดที่น่าสนใจ รวมถึงอาเซียน และจีนที่จะดีขึ้นหลังจากนี้” นายกอบศักดิ์ กล่าว
แนวทางรับมือร่วมกันในอนาคต
แม้หลายประเทศจะได้ลดภาษีลงมาจากเดิม แต่ถึงกระนั้นอาเซียนยังจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการหาตลาดใหม่ หรือกระชับความสัมพันธ์กับตลาดเดิมที่มีอยู่ เพื่อชดเชยการสูญเสียโอกาสในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ได้เสนอแนะ 6 แนวทางสำหรับอาเซียนในการรับมือภาษีสหรัฐฯ ร่วมกัน ดังนี้
1. เพิ่มการค้าภายในอาเซียน: เสริมสร้างการค้าระหว่างประเทศสมาชิกด้วยการประสานระเบียบข้อบังคับและลดภาษี เพื่อสร้างตลาดภายในที่แข็งแกร่งและลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
2. ใช้อำนาจเจรจาต่อรองร่วมกัน: การรวมกลุ่มกันจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับคู่ค้าภายนอกและส่งเสริมการค้าระหว่างภูมิภาค ESCAP ชี้ว่าหากอาเซียนเจรจาร่วมกันกับสหรัฐฯ จะมีโอกาสได้รับเงื่อนไขทางการค้าที่ดีกว่าการทำข้อตกลงทวิภาคี
3. รวมกลุ่มกับจีน: เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างใช้มาตรการภาษีต่อกัน จึงเป็นโอกาสที่อาเซียนจะสามารถเจาะตลาดจีนได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่สหรัฐฯ อาจถูกแทนที่ พร้อมไปกับการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับจีนทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค
4. กระจายตลาด: มุ่งเน้นประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับอาเซียนอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดเหล่านั้น เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (EU) กลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (Mercosur) และเอเชียกลาง ควบคู่ไปกับการสำรวจในการทำข้อตกลง FTA ใหม่ ๆ กับเศรษฐกิจเกิดใหม่นอกเหนือจากคู่ค้าเดิม
5. ขยายการค้าในภาคบริการ: อาเซียนควรเจรจาข้อผูกพันเพิ่มเติมกับคู่เจรจาหลัก (ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้) เพื่อเปิดตลาดใหม่สำหรับผู้ให้บริการของอาเซียน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
6. ใช้นโยบายดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค: เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของอาเซียนต่อมาตรการภาษีสหรัฐฯ อาเซียนควรเพิ่มความเป็นอิสระของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคโดยการลงทุนในเครือข่ายการผลิตและกลุ่มอุตสาหกรรมภายในอาเซียนเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในภูมิภาค
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)