น้ำดี-อากาศหนุน!! ผลผลิตพืชสำคัญเพิ่มส่งผล GDP เกษตร Q2/68 พุ่ง 5.5%

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2/68 (เม.ย.-มิ.ย.) ขยายตัวถึง 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 67 ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี 68 ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง

ประกอบกับสภาพอากาศโดยทั่วไปเอื้ออำนวยต่อการเติบโตของพืชผล เกษตรกรจึงมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง รวมทั้งมีการบำรุงดูแลและเฝ้าระวังโรคมากขึ้น ส่งผลให้สาขาพืชซึ่งเป็นสาขาการผลิตหลักขยายตัวได้ดี และส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังสาขาบริการทางการเกษตร ขณะที่สาขาประมงและสาขาป่าไม้ขยายตัวจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่วนสาขาปศุสัตว์มีทิศทางหดตัว

ตารางอัตราการเติบโตของภาคเกษตร (หน่วย: ร้อยละ)

สาขาไตรมาส 2/68 (เม.ย.-มิ.ย. 68)
ภาคเกษตร5.5
พืช7.9
ปศุสัตว์-0.9
ประมง1.3
บริการทางการเกษตร2.8
ป่าไม้0.6
ที่มา: กองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สศก. (ประมาณการ ณ เดือนมิ.ย. 68)

*สาขาพืช ขยายตัว 7.9%

เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงปลายปี 67 เอื้ออำนวยต่อการผลิตพืชหลายชนิด โดยเฉพาะไม้ผลที่มีการออกดอกติดผลได้ดี ประกอบกับช่วงต้นปีถึงเดือนพ.ค. 68 มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ทำให้พืชหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น

1. สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น

      • ข้าวนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว เกษตรกรจึงขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกเขตชลประทาน บางพื้นที่มีการปลูกข้าวนาปรังถึง 2 รอบ ประกอบกับราคาข้าวในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยและบำรุงรักษามากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้น
      • สับปะรดปัตตาเวีย ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเพาะปลูก ทำให้ต้นสับปะรดมีความสมบูรณ์ สามารถบังคับให้ออกผลได้มากกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งไม่ประสบปัญหาภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วงอย่างที่เกิดขึ้นในปีก่อนหน้า ส่งผลให้พื้นที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
      • ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาปาล์มในปี 65 อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกแทนยางพารา พื้นที่นา และพื้นที่รกร้าง ซึ่งเริ่มให้ผลผลิตในปี 68 เป็นปีแรก ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 ทำให้ต้นปาล์มสมบูรณ์ มีการออกทะลายเพิ่มขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้น
      • ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะ เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล ไม่ร้อนและแห้งแล้งเหมือนปีที่ผ่านมา ราคาที่อยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องหลายปี จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่และดูแลรักษาเป็นอย่างดี ประกอบกับในปีที่ผ่านมาไม้ผลส่วนใหญ่ให้ผลผลิตน้อย ทำให้มีการพักต้นสะสมอาหาร ส่งผลให้ปีนี้มีความสมบูรณ์และให้ผลผลิตได้มากขึ้น

      2. สินค้าพืชที่มีผลผลิตลดลง

        • มันสำปะหลัง ผลผลิตลดลงจากผลกระทบของการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในแหล่งเพาะปลูกหลักทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับฝนที่มาล่าช้าในช่วงเริ่มต้นฤดูเพาะปลูก และฝนที่ตกชุกในช่วงการสะสมอาหาร ส่งผลให้หัวมันสำปะหลังได้รับความเสียหาย
        • อ้อยโรงงาน ผลผลิตลดลง เนื่องจากต้นอ้อยมีการเติบโตได้ดีจากปริมาณฝนในช่วงครึ่งหลังของปี 67 ทำให้ผลผลิตส่วนใหญ่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วในช่วงไตรมาสแรกของปี 68 ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตในไตรมาส 2 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67
        • ยางพารา ผลผลิตลดลง เนื่องจากจำนวนวันกรีดลดลงจากการดำเนินมาตรการขอความร่วมมือเลื่อนฤดูเปิดกรีดยางออกไป 1 เดือน ของภาครัฐ นอกจากนี้ เกษตรกรในภาคใต้และภาคตะวันออกมีการตัดโค่นต้นยางอายุมากที่ให้ผลผลิตน้อย เพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้นชนิดอื่น

        *สาขาประมง ขยายตัว 1.3%

        • กุ้งขาวแวนนาไม ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสาขานี้ มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคากุ้งมีแนวโน้มสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรปรับเพิ่มปริมาณการปล่อยลูกกุ้ง ประกอบกับมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ทำให้กุ้งมีอัตราการรอดสูง
        • ปลานิล ปลาดุก และสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ ผลผลิตลดลง เนื่องจากราคาอาหารสัตว์น้ำซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรปรับลดปริมาณการปล่อยลูกพันธุ์ปลา ขณะที่การทำประมงทะเล ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน และต้นทุนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ประกอบการประมงมีการออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง

        *สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.8%

        เป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวในสาขาพืช โดยเกษตรกรมีการขยายเนื้อที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง ส่งผลให้ภาพรวมกิจกรรมการจ้างบริการทางการเกษตร เพื่อเตรียมดินและการเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่สำคัญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสับปะรดปัตตาเวีย

        *สาขาป่าไม้ ขยายตัว 0.6%

        • ไม้ยูคาลิปตัส ถ่านไม้ และรังนก เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ภายในประเทศและตลาดต่างประเทศที่ขยายตัว
        • ไม้ยางพารา ลดลงตามพื้นที่เป้าหมายการตัดโค่นสวนยางพาราเก่าของการยางแห่งประเทศไทย และความต้องการนำเข้าของจีนสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ที่ลดลง
        • ครั่ง ผลผลิตลดลงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของครั่ง

        *สาขาปศุสัตว์ หดตัว 0.9%

        • สุกรและไข่ไก่ มีผลผลิตลดลงจากการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคาของภาครัฐ โดยมีการปรับลดแม่พันธุ์สุกรภายในประเทศ และการขอความร่วมมือให้เกษตรกรปลดแม่ไก่ยืนกรงตามอายุที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ทำให้ปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม ปริมาณไข่ไก่ยังคงเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
        • ไก่เนื้อและน้ำนมดิบ มีการผลิตเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภคในประเทศและการส่งออกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่เกษตรกรมีการปรับปรุงการบริหารจัดการฟาร์มและนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ประกอบกับภาครัฐมีการเฝ้าระวังโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง

        *คาดแนวโน้มปี 68 ขยายตัว 2.0-3.0%

        สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 68 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0-3.0% เมื่อเทียบกับปี 67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนที่มากขึ้นและตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกตลอดปี ประกอบกับมีการดำเนินนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร รวมทั้งการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง อาทิ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและยกระดับสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน การเฝ้าระวังโรคระบาดในพืชและสัตว์

        อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ราคาปัจจัยการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดมีทิศทางลดลง รวมถึงปัจจัยภายนอก อาทิ ความขัดแย้งและสงครามการค้าระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น และนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทย และส่งผลต่อเนื่องมายังปริมาณการผลิตและราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ

        โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 68)