
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนก.ค. 68 ซึ่งเป็นการสำรวจจากความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 25-31 ก.ค. 68 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 45.9 ลดลงจากระดับ 46.7 ในเดือนมิ.ย. 68 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยค่าดัชนีฯ อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 31 เดือน
“ดัชนีทุก item มีสัญญาณลดลงจากเดือนก่อน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโดยรวม, การลงทุน, การค้าชายแดน บ่งชี้ว่าภาคเอกชน ซึ่งเป็นหอการค้าต่างจังหวัด ยังมองว่าเศรษฐกิจในปัจจุบัน ยังไม่ดีมากนัก สถานการณ์ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และดัชนีต่ำสุดในรอบ 31 เดือน” นายวชิร ระบุ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้
– กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 46.0 ลดลงจากเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 46.7
– ภาคกลาง อยู่ที่ 45.4 ลดลงจากเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 46.2
– ภาคตะวันออก อยู่ที่ 49.4 ลดลงจากเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 50.2
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 44.2 ลดลงจากเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 45.3
– ภาคเหนือ อยู่ที่ 46.3 ลดลงจากเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 46.9
– ภาคใต้ อยู่ที่ 44.5 ลดลงจากเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 45.3
ปัจจัยลบ ได้แก่
1. ความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบของนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งประเทศไทยได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการว่า จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 68
2. ความเชื่อมั่นทางการเมือง และเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบันโดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว หลังมีมติเอกฉันท์รับคำร้องของ สว. ที่กล่าวหาผู้นำรัฐบาลฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีปรากฏ “คลิปเสียง” สนทนากับผู้นำกัมพูชา
3. สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย-กัมพูชา ที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงหลายระลอกในเขตชายแดน ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวและการอพยพของประชาชน รวมถึงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ที่ต้องหยุดชะงักบริเวณพื้นที่ชายแดน
4. เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคมีการระมัดระวังการจับจ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต ซึ่งรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
5. ราคาข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่
6. ปัญหาเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงสูงขึ้น
7. สถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น
ปัจจัยบวก ได้แก่
1. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 68 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ประจำปี 68 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.-31 ต.ค. 68
3. การส่งออกของไทยเดือน มิ.ย. 68 ขยายตัว 15.49 มูลค่าอยู่ที่ 28,649.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 13.12% มีมูลค่าอยู่ที่ 27,588.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1,061.70 ล้านดอลลาร์
4. SET Index เดือน ก.ค. 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 152.79 จุด จาก 1,089.56 ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 68 เป็น 1,242.35 ณ สิ้นเดือน ก.ค. 68
5. ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 0.70 บาทต่อลิตร จากเดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 32.08 และ 32.45 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีก ยังคงทรงตัวจากเดือนที่มา โดยที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือน ก.ค. 68
6. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา มีราคาไม่ค่อยดี
7. ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 32.623 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 68 เป็น 32.439 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน ก.ค. 68 สะท้อนว่ามีการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาไปถึงภาครัฐ ดังนี้
– แผนการเจรจาต่อรองภาษีกับประเทศมหาอำนาจ ที่มีผลต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย และการรับมือกับการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรม
– มาตรการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งการบริหารจัดการการค้าชายแดน
– หามาตรการป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง
– หามาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นที่สามารถเพิ่มยอดคำสั่งซื้อสินค้า/บริการในทุกสาขาธุรกิจ
– การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
– มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 68)