
สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GAC) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า ยอดการนำเข้าถ่านหินของจีนในเดือนก.ค. ดิ่งลงอย่างหนักถึง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุสำคัญมาจากปริมาณถ่านหินที่ผลิตได้เองในประเทศมีมากจนล้นตลาด ทำให้ความต้องการนำเข้าจากต่างประเทศลดลง
ทั้งนี้ ตัวเลขนำเข้าในเดือนก.ค. อยู่ที่ 35.61 ล้านเมตริกตัน ซึ่งแม้ลดลงจากปีก่อน แต่ก็ถือว่าฟื้นตัวขึ้นจากเดือนมิ.ย. ที่เคยทำสถิติต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งปัจจัยหนุนมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศมากขึ้น และส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี ตลาดกำลังจับตามองว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อลดกำลังการผลิตและแก้ปัญหาถ่านหินล้นตลาดหรือไม่ หลังจากที่สำนักงานพลังงานแห่งชาติ (NEA) ของจีนได้สั่งให้มีการเข้าตรวจสอบเหมืองถ่านหินใน 8 มณฑลเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา
คำสั่งดังกล่าวส่งผลให้ราคาถ่านหินโค้ก (Coking Coal) พุ่งขึ้นจนชนเพดานราคาสูงสุดติดต่อกันหลายวัน จากการคาดการณ์ว่า การตรวจสอบดังกล่าวจะทำให้กิจการเหมืองหลายแห่งต้องหยุดชะงัก และกระทบต่อปริมาณผลผลิตในท้องตลาด
นักวิเคราะห์จาก LSEG ระบุในบทวิเคราะห์ว่า “หาก NEA เดินหน้าตรวจสอบจริง ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่ราคาถ่านหินในประเทศจะพุ่งขึ้น เพราะผลผลิตจะลดลง”
“และเมื่อราคาในประเทศสูงขึ้น ก็จะจูงใจให้มีการนำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งจะดันราคาถ่านหินในตลาดโลกให้สูงขึ้นตามไปด้วย”
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากบริษัท Kpler กลับมองต่างมุม โดยระบุในรายงานว่า คำสั่งของ NEA เป็นเพียงปัจจัยกระตุ้นราคาและยอดนำเข้าในระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในภาพรวมยังคงชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม
“ภาพรวมตลาดยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลง เนื่องจากผลผลิตในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง การหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้เหล็กกล้าที่อ่อนแอลง”
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรยังระบุด้วยว่า ตลอดช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) จีนนำเข้าถ่านหินไปแล้วทั้งสิ้น 257.3 ล้านตัน ซึ่งลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 68)