
นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค [PIN] เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 บริษัทฯ มีรายได้รวม 629 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% และ มีกำไรสุทธิ 176 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 232% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ทั้งรายได้และกำไรสุทธิชะลอตัวลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อรอดูความชัดเจนของมาตรการโต้ตอบภาษีทางการค้าจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี จากผลการดำเนินงานของทั้งสองไตรมาส ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.-มิ.ย) มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,039 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 229 ล้านบาท โดยชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แบ่งเป็นรายได้จากการขายและโอนที่ดินรวมทั้งสิ้น 846 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ มีรายได้รวม 169 ล้านบาท
ขณะที่ความต้องการซื้อที่ดินของนักลงทุนต่างชาติยังมีอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าและการแข่งขันของภูมิภาค สะท้อนจากจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติในครึ่งปีแรก 2568 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้น 38% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,058,225 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 138% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ เป็นต้น
นายพีระ กล่าวต่อว่า ในครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาและขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่ภายใต้เขต EEC ได้แก่ ปิ่นทองโครงการที่ 7, 8 และส่วนต่อขยายโครงการที่ 3 รวมพื้นที่กว่า 2,861 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคต เช่น กลุ่มธุรกิจ Data Center, High Tech, EV และอิเล็กทรอนิกส์ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรายได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยผสานแนวคิดด้าน ESG และ Smart City ในการพัฒนา ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของปิ่นทองอย่างมีนัยสำคัญ
“นิคมอุตสาหกรรมของไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความไม่แน่นอนจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ ตลอดจนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐซึ่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงยังคงเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักลงทุนทั่วโลก และเชื่อมั่นว่าจะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตและลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค” นายพีระกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ส.ค. 68)