
นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ [L&E] เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง เชื่อว่ามีการเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ปัจจัยสนับสนุนจากการเริ่มทยอยรับรู้รายได้งานโครงการที่เลื่อนมาในสัดส่วนที่มากขึ้นจาก Backlog ที่มีราว 1,200 ล้านบาท และบริษัทได้รับยืนยันคำสั่งซื้องานโครงการ 2 โครงการจากต่างประเทศ ได้แก่ โคมไฟถนนในประเทศมาเลเซีย และโคมไฟฟ้าสำหรับงานห้างสรรพสินค้า ในประเทศออสเตรเลีย นับเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเปิดตลาดต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการขยายตัวมากขึ้นจากสินค้า Manufacturing Focused ที่ผลิตโดยโรงงานในเครือ LEM & LES จากผู้ค้าปลีกรายใหญ่หลายรายในประเทศให้ผลิตสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ เพื่อทดแทนการนำเข้าและการผลิตเพื่อส่งออกเป็นจำนวนมากไปยังต่างประเทศ ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น (Repeat Order) พร้อมกันนี้การที่รัฐบาลมีนโยบายเข้มงวดปราบปรามสินค้าสวมสิทธิ สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นปัจจัยบวกให้ผู้ผลิตในประเทศอย่างมาก และล่าสุดการเจรจาภาษีทรัมป์ ว่า “ด้วยกติกา RVC ใหม่ Rules of Origin (ถิ่นกำเนิดสินค้า) เป็นปัจจัยบวกเสริมผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานในประเทศอย่างมาก ซึ่ง L&E ได้รับประโยชน์ด้วย
ขณะเดียวกัน L&E ยังได้รับผลบวกจากความต้องการที่สูงขึ้น (Strong Demand) จากสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น IoT intelligent Lighting ซึ่ง L&E เป็นผู้นำตลาดในขณะนี้ สินค้านวัตกรรมจากภาครัฐ โคมไฟฟ้าสำหรับธุรกิจบันเทิง (Entertainment Lighting) ที่ผลิตในประเทศได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. เป็นต้น
“สิ่งสำคัญโอกาสจากสายการผลิตที่เข้มแข็งประสิทธิภาพสูง กอปรกับการจัดระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ราคาแข่งขันได้ รวดเร็ว เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเน้นด้านการเพิ่มความปลอดภัย Electrical safety โดยสินค้าทุกชิ้นผ่านกระบวนการทดสอบ Ground Bond และ Insulation ในส่วนท้ายของไลน์การผลิตเพื่อตรวจสอบว่าสายดินและการหุ้มฉนวนของผลิตภัณฑ์ทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อตและปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น อัคคีภัย เป็นต้น ทำให้โรงงานในเครือทั้ง LEM & LES จึงพร้อมมากที่จะเพิ่มรายได้จากการเป็นทั้ง OEM และ ODM เมื่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ เริ่มคลี่คลายเห็นทิศทางชัดเจนขึ้น และแข็งแกร่งพร้อมที่จะแข่งขันกับสินค้าราคาถูกที่จะทะลักมาจากต่างประเทศ ซึ่งตรงจุดนี้ L&E มีความเชี่ยวชาญ หากใช้สินค้าเราไฟจะไม่ดูด และไม่เกิดไฟไหม้กับผู้ใช้งาน” นายอนันต์ กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเป็น Lighting Solution Provider ครบวงจร ด้วยการส่งมอบนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหลักที่อยู่ภายใต้กลยุทธ์ “Flagship Manufacturing Focused” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนการเติบโตในปีนี้ ด้วยการเน้นผลิตเป็นรุ่นๆที่แข่งขันได้ในปริมาณมากเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย และทำให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ พร้อมทั้งบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านต้นทุนและคุณภาพ
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 559 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 19 ล้านบาท หรือลดลง 3% สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยได้รับผลกระทบจากภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการฟื้นตัวที่ล่าช้าของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้โครงการก่อสร้างอาคารสูงเพื่อที่อยู่อาศัยและสำนักงานชะลอตัวลง ขณะเดียวกันร้านค้าต่างๆได้ชะลอการขยายธุรกิจออกไปเพื่อรอดูแนวโน้มของสถานการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้เลื่อนออกไปเป็นไตรมาสที่ 3/68 และไตรมาสที่ 4/68 แม้ว่ายอดขายของสินค้ากลุ่ม Manufacturing Focus ซึ่งบริษัทได้พัฒนาจนสามารถแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศได้ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การส่งออกไปบางประเทศยังไม่สามารถดำเนินได้ทันที เนื่องจากต้องรอการอนุมัติใบรับรองมาตรฐานสินค้าจากประเทศปลายทาง นอกจากนี้ ราคาขายต่อหน่วยที่ปรับตัวลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรง ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ของบริษัทในปีนี้
บริษัทมีขาดทุนสำหรับงวด 24.9 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 16.1 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นลดลง 10.7 ล้านบาท หรือลดลง 6% สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ลดลง และผลกระทบจากกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายในการขายและให้บริการรวมดอกเบี้ยจ่ายลดลง 2.7 ล้านบาท หรือลดลง 1% สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามยอดขายปรับตัวลดลง และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 0.8 ล้านบาท โดยบริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษี
นายอนันต์ กล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมา L&E ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและเสริมความแข็งแรงในการเป็นผู้นำด้านแสงสว่าง Lighting Solution Provider พร้อมแข่งขันทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมการเติบโตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ยังคงเปราะบาง ถูกคาดการณ์ว่าจะซึมยาว และครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบและความไม่แน่นอนต่อเนื่องมาจากครึ่งปีแรก ส่งผลทางลบให้งานโครงการใหญ่ๆ จากภาคอสังหาฯ ยังคงชะลอตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจ กำลังซื้อและการเก็บสต็อคของลูกค้าทั้งโครงการและร้านค้าลดลง จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมทั้งการแข่งขันด้านราคาที่ยังเข้มข้นจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
“แม้ภาพรวมครึ่งปีแรกที่ผ่านมาแนวโน้มจะดีขึ้นจากงานใหม่ๆ และสินค้าใหม่ๆ ทั้งจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงงานในมือที่เพิ่มขึ้น และผลเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐฯที่เป็นในทางบวกนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หายไปในครึ่งปีแรก ทำให้บริษัทต้องปรับคาดการณ์การเติบโตของยอดขายจากเดิมที่ตั้งไว้ 15-20% ลงมาเหลือ 10% จากปีก่อน” นายอนันต์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ส.ค. 68)