
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [JMART] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรวมไตรมาส 2/68 มีรายได้รวม 3,820 ล้านบาท เติบโต 14.3% ส่วนงวด 6 เดือนแรกมีรายได้รวม 7,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แรงหนุนหลักจากยอดขายมือถือที่เติบโตต่อเนื่องภายใต้เจมาร์ท โมบาย (Jaymart Mobile)
โดย JMART มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 111 ล้านบาท และ 251.3 ล้านบาทในงวด 6 เดือน ปรับลดจากปีก่อนจากแรงกดดันในธุรกิจบริหารหนี้และบันทึกขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินตามราคาตลาด (Unrealized Loss) ซึ่งหากไม่รวมการบันทึกดังกล่าว กำไรบริษัทยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนศักยภาพธุรกิจหลักและการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง
และหนึ่งในไฮไลท์สำคัญคือ “สุกี้ตี๋น้อย” ที่ JMART ได้เข้าลงทุน 30% ยังคงเป็นธุรกิจเรือธงที่ทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจ Lock Phone เติบโตโดดเด่น โดย บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (KBJ) ภายใต้โครงการ Samsung Finance+ ทำกำไรสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้ง
ส่วน บมจ.เอสจี แคปปิตอล [SGC] ภายใต้ SG Finance+ มีกำไรแตะ 104 ล้านบาท โดยแบรนด์ Samsung และ China Brand ครองมาร์เก็ตแชร์รวมราว 75% ของตลาดสมาร์ทโฟนในไทย และล่าสุด SGC อยู่ระหว่างทำ Sandbox เตรียมขยายสินเชื่อ Lock Phone ไปสู่กลุ่ม iPhone ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวเร่งการเติบโตของธุรกิจมือถือให้ก้าวกระโดดมากขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ Synergy Ecosystem ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาว
นอกจากนี้ JMART ยังคงรักษาความมั่นใจของนักลงทุนด้วยการเตรียมเงินพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 2,387 ล้านบาทในเดือนตุลาคม และมีแหล่งเงินทุนกว่า 2,235 ล้านบาท จากเงินสดในมือ เงินลงทุน และเงินปันผลจากบริษัทย่อย รวมถึงการต่ออายุหุ้นกู้และกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน สะท้อนฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
สำหรับบริษัทที่เข้าไปลงทุน นำโดยสุกี้ตี๋น้อยมีการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง งวด 6 เดือนแรกปี 68 มีกำไรสุทธิ 582 ล้านบาท โดยบริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 30% คิดเป็น 169 ล้านบาท (หลังหักการปันส่วนราคาซื้อหรือ Purchase Price Allocation) ภาพรวมสาขา Suki Teenoi มีสาขารวมทั้งสิ้น 86 สาขา แบ่งเป็น Teenoi BBQ (บุฟเฟต์ปิ้งย่าง) 4 สาขา และ Teenoi Express (บุฟเฟต์พรีเมียม) 1 สาขา ในไตรมาส 2/68 บริษัทได้เปิดสาขาเพิ่ม 4 สาขา โดยเป็นการขยายไปยังต่างจังหวัด ได้แก่ สกลนคร อยุธยา ราชบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งล้วนเป็นทำเลศักยภาพสูง มีลูกค้าเข้าใช้บริการหนาแน่น และได้รับการตอบรับจากชุมชนเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ สุกี้ตี๋น้อยยังได้ร่วมมือกับ JAS Asset เปิด Teenoi BBQ เพิ่ม 2 สาขาในครึ่งปีแรก ได้แก่ JAS Green Village คู้บอน และ JAS URBAN ศรีนครินทร์ และวางแผนขยายสาขาต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ สุกี้ตี๋น้อยยังเตรียมเปิดตัวธุรกิจใหม่คาดเห็นความคืบหน้าเร็วๆ นี้
ด้าน บริษัท เจจีเอส ซินเนอรจี พาวเวอร์ จำกัด (JGS) คาดรายได้ปีนี้ทำได้ 70 ล้านบาท ขานรับนโยบายรัฐบาลประกาศนโยบายสิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจผู้ประกอบการและภาคครัวเรือนลงทุนลดภาระค่าไฟ และส่งเสริมการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในบ้านอยู่อาศัย โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท เป็นธุรกิจที่คาดว่าจะมีโอกาสสร้างการเติบโตในอนาคต
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส [JMT] เปิดเผยว่า ผลงานไตรมาส 2/68 มีรายได้รวม 1,208.7 ล้านบาท และครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,793.6 ล้านบาท ลดลง 11.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพที่ทรงตัวและรายได้ประกันภัยลดลง อย่างไรก็ดี บริษัทยังสามารถรักษากระแสเงินสดจากการจัดเก็บหนี้รวมบริษัทร่วม JK AMC ได้อย่างแข็งแกร่ง ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน สะท้อนศักยภาพการบริหารพอร์ตหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในไตรมาสนี้ บริษัทตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) 259 ล้านบาทแบบอนุรักษ์นิยม มองความเสี่ยงไปข้างหน้า จากพอร์ตที่จัดเก็บต่ำกว่าประมาณการ โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้กลับเมื่อการจัดเก็บกลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 246.5 ล้านบาท และครึ่งปีแรก 576.5 ล้านบาท ลดลง 32.8% และ 26.6% ตามลำดับ ขณะที่ JK AMC ทำกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 288 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและภาระหนี้ครัวเรือนสูง JMT ยังคงเดินหน้าลงทุนซื้อหนี้ตามแผน โดยครึ่งปีแรกได้ปิดดีลซื้อหนี้ก้อนใหญ่ 20,000 ล้านบาท มุ่งเน้นหนี้ไม่มีหลักประกัน และมีแผนซื้อหนี้เพิ่มอีก 20,000-25,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพของประเทศ จากครึ่งปีแรกมีพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพรวมอยู่ที่ 568,428 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้ง บริษัทมั่นใจว่ากลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกควบคู่กับการบริหารจัดเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันยังมีเงินในกระบวนการบังคับคดีที่เตรียมทยอยรับรู้กลับมา ทั้งจากบริษัทย่อย JAM และ JK AMC ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและสร้างผลตอบแทนในอนาคต
ด้าน นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท [J] เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/68 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 183.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3% หนุนให้รายได้รวมงวด 6 เดือนแรกอยู่ที่ 350.7 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ JAS Green Village ประเวศ และ JAS Green Village รามคำแหง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นไตรมาส 2/68 เพิ่มขึ้น 5.9% แตะ 80.4 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการยังบันทึกขาดทุนสุทธิไตรมาส 2/68 จำนวน 101.4 ล้านบาท และงวด 6 เดือนขาดทุนสุทธิ 132.1 ล้านบาท พลิกจากกำไรในปีก่อน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนดำเนินงานและค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้น รวมถึงขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน แต่บริษัทยังเดินหน้าปรับกลยุทธ์ควบคุมต้นทุน และต่อยอดศักยภาพโครงการปัจจุบันเพื่อสร้างการเติบโตในระยะต่อไป
โดยบริษัทมุ่งเน้นควบคุมต้นทุนในโครงการที่ไม่เป็นไปตามเป้า เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายใน และเสริมผู้เช่าหลักแบรนด์ที่ได้รับความนิยม เพื่อสร้างทราฟฟิก อาทิ EVEANDBOY ที่ The JAS รามอินทรา และ “ตี๋น้อย BBQ” ที่ The JAS Urban ศรีนครินทร์ ส่งผลให้โครงการ JAS Green Village คู้บอนมีอัตราเช่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย IT Junction ในทำเลศักยภาพ และต่อยอดธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงวัยที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อสร้างฐานรายได้มั่นคง รองรับการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ภายใต้กลยุทธ์มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของสินทรัพย์ที่มีอยู่ และยังคงมั่นใจว่าระยะยาวบริษัทจะสามารถกลับมาสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ส.ค. 68)