
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร [KKP] คาดว่าเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 มีแนวโน้มชะลอตัวลงและยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ แม้จะเติบโตได้ดีกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปี แต่ก็มาจากปัจจัยชั่วคราว โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่นโยบายภาษีของประธานาธฺบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลบังคับใช้ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย
หลังจากเดือน ส.ค.68 สินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษี 19% ตามมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยได้
ด้านเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและอาจไม่กลับสู่ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต ในอดีตโลกอยู่ในยุคที่การค้าเติบโตและอัตราภาษีเฉลี่ยปรับตัวลงเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามการขยายตัวของการค้าสร้างต้นทุนให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การย้ายการลงทุนออกนอกสหรัฐฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานต่างประเทศราคาถูก จนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานบางส่วน และ 2. การขาดดุลทางการค้าและการคลังที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา
โดยสหรัฐฯมีการประกาศใช้นโยบายภาษีการค้าตอบโต้ (reciprocal tariff) เพื่อปรับโครงสร้างการขาดดุลทางการค้าและการคลัง นอกจากนี้ สหรัฐยังต้องใช้สถานะของการเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ของโลกในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขด้านต่างๆ แม้จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับหลายประเทศในอัตราภาษี 10-35% แต่การเจรจาการค้าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง และเงื่อนไขสำคัญที่ยังไม่ชัดเจน คือสินค้าส่งออกที่จะถูกเข้าข่ายเป็นการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม(transshipment) โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะโดนเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า (40%) เพื่อกดดันการขยายห่วงโซ่อุปทานและอิทธิพลของจีนในประเทศกำลังพัฒนา
นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ผลกระทบของภาระภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะถูกแบ่งกันรับภาระระหว่างผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้บริโภค การขึ้นภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายทำให้มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงแรก แต่หากผู้บริโภคเลือกที่จะบริโภคลดลงจะทำให้ต้นทุนของภาษีนำเข้าถูกแบ่งปันระหว่างผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าส่งออกทั่วโลกปรับลดลงเพื่อชดเชยกับอุปสงค์ที่หายไป
KKP Research ประเมินว่าแม้ผลลัพธ์จะดีในภาพใหญ่ แต่การเจรจายังคงดำเนินต่อและมีความไม่แน่นอนสูง โดยมีอีกอย่างน้อยสองช่องทางที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ
- สหรัฐฯ สามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นทดแทนการนำเข้าสินค้าจากไทยได้ โดยสินค้าที่ส่งออกหลักของไทยสหรัฐฯ มีการนำเข้าจากหลายประเทศ หลายภูมิภาค ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ ในขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 และอาจหาอุปทานทดแทนทั้งหมดได้ยากกว่ากลุ่มอื่น ๆ คือ ยางรถยนต์ ข้าว อาหารสัตว์
- ไทยมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเฉลี่ยสูงกว่าประเทศอื่นเมื่อพิจารณาความเสี่ยงเรื่อง “Transshipment” แม้เงื่อนไขของการสวมสิทธิ์ (transshipment) ยังไม่ชัดเจน แต่หากสินค้าที่ถูกตัดสินว่าสวมสิทธิ์ ก็อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% โดยมีข้อมูลสะท้อนว่า สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จำนวนมากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตค่อนข้างต่ำ และอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงที่สินค้าจำนวนมากจะถูกคิดภาษีถึง 40%
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่สามารถประเมินผ่านเลขส่งออก แต่ขึ้นอยู่กับผลต่อความสามารถในการแข่งขันของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ข้อมูลในช่วงต้นปี 68 สะท้อนว่าการส่งออกของไทยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยแทบไม่ขยายตัวขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่าการส่งออกส่วนใหญ่เป็นการส่งออกที่เป็นการนำเข้ามาจากประเทศอื่นๆ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านและแม้การส่งออกกลุ่มนี้จะชะลอลงก็อาจจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจไทยมากนัก
นายเคนเนท โดนัลท์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า KKP Research มองว่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการผลิตในประเทศทั้งหมด โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. สินค้าปกติที่ถูกเก็บภาษี 19% และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง ส่งผลต่อการผลิตมากที่สุด เช่น กลุ่ม อาหาร ข้าว ยางพารา 2. สินค้าที่นำเข้าจากจีนและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยไทยแทบไม่มีบทบาทการผลิต และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศอยู่ในระดับต่ำ เช่น แผง solar cell อุปกรณ์ network และ Wi-Fi router และ 3. สินค้ามูลค่าเพิ่มต่ำถึงปานกลางที่พึ่งพาวัตถุดิบจากจีนสูง และอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง Transshipment ต้องเสียภาษี 40% และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับปานกลาง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น จอมอนิเตอร์ เป็นต้นนอกจากนี้ยังมีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่อยู่ในบัญชีได้รับยกเว้นซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนราว 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ และไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม
KKP Research คาดว่าผลกระทบทั้งปีต่อ GDP ไทยจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะอยู่ระหว่าง 0.3–0.9% หรือเฉลี่ยที่ 0.6% และในกรณีที่หากสหรัฐฯ ยกเลิกรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจะทำให้ผลกระทบสูงขึ้นเป็น 0.7-1.1% และคาดว่าการส่งออกจะหดตัวลงแรงหลังจากเร่งส่งออกก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้หลังเดือนส.ค. 68
แนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยควรเน้นการลงทุนที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ๆ แม้การเปิดตลาดสินค้าบางกลุ่มและจัดการกับปัญหา Transshipment จะเป็นต้นทุนต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวระยะยาวของไทยเช่นกัน
หากมองในแง่ดีก็อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยแม้ว่าเงื่อนไขในการเจรจาภาษีนำเข้า กำหนดให้ไทยต้องเปิดตลาดแบบจำกัดให้กับสหรัฐฯ ในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร แต่ไทยไม่มีทางเลือกมากนักในโลกการค้าและการลงทุนยุคใหม่ การเปิดตลาดวัตถุดิบอย่างค่อยเป็นค่อยไปอาจเป็นโอกาสที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารลดลง และเป็นโอกาสให้ภาคเกษตรไทยมีการปรับตัว และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆมาใช้เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว ในขณะที่มาตรการที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ และส่งเสริมให้มีการปรับตัวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
การปรับเป้าหมายการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างชาติที่เน้นคุณภาพมากขึ้น การลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ แต่ไทยมีปัญหาทั้งดึงเม็ดเงินลงทุนได้น้อยลงและการดึงดูดการลงทุนที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศหรือเกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีมากเท่าที่ควร แม้ว่าเงื่อนไขเรื่องการเก็บภาษีสินค้าส่งออกที่สวมสิทธิ์(transshipment) อาจส่งผลลบต่อความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างชาติในระยะสั้น แต่เป็นโอกาสให้ไทยปรับเป้าหมายการดึงดูดการลงทุนระยะยาว ที่เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การสร้างมูลค่าเพิ่มกับเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายโอนเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 68)