นักวิชาการเตือนสติคนไทยปลุกเร้าความเกลียดชังอาจบานปลาย ขอยึดสันติภาพพาชาติรอด

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวนำในหัวข้อ “สันติภาพในอาเซียนและไทยภายใต้ระบบพหุขั้วอำนาจ” ว่า วาระครบรอบ 80 ปีวันสันติภาพไทย นับเป็นโอกาสอันดีในการทบทวนบทเรียนในอดีต นำมาวิเคราะห์ปัจจุบัน

และคาดการณ์ไปยังอนาคต ทำอย่างไรสังคมไทยจะช่วยกันรักษาเอกราชและอธิปไตยให้มั่นคงได้ภายใต้ระบบพหุขั้วอำนาจ
ทำอย่างไรให้เกิดสันติภาพและการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติ ทำอย่างไรให้ความขัดแย้งของขั้วการเมืองภายในประเทศแก้ไขด้วยวิถีทางแห่งกฎหมาย มีระบบและกลไกในการไม่ให้”เชื้อไฟของความขัดแย้ง” ลุกลามเป็น ความรุนแรงและสงครามกลางเมือง

การจัดงาน “วันสันติภาพไทย”ในวันนี้ ก็เพื่อให้สังคมไทยได้ใช้โอกาสนี้ในการทบทวนปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตยและรักชาติอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ถูกครอบงำด้วยกระแสที่สร้างความเกลียดชัง เท่าทันต่อกระแสชาตินิยมสุดขั้วหรือแนวคิดคลั่งชาติ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังจนนำมาสู่การขยายวงของความขัดแย้งและนำมาสู่สงครามที่ลุกลามใหญ่โตได้

เราสามารถรักษาอธิปไตยได้พร้อมกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยุทธศาสตร์ปกป้องอธิปไตย ปกป้องดินแดนสามารถใช้ แนวทางสร้างสันติภาพเชิงรุกได้ การหยุดยิงเพื่อเจรจา จะช่วยรักษาชีวิตประชาชน ชีวิตทหารและลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สินได้ ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาที่ผ่านมา ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยและประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนไม่น้อย ผู้คนหลายหมื่นคนต้องอพยพย้ายถิ่น การค้าชายแดนเสียหายหลายหมื่นล้านบาท การประกอบอาชีพตามแนวชายแดนหยุดชะงัก

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน และอย่างน้อยสองทศวรรษข้างหน้านี้ ไทยรวมทั้งอาเซียนจะเป็นพื้นที่แห่งการช่วงชิง เข้ามามีบทบาทแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ของสองมหาอำนาจ คือ จีนและสหรัฐอเมริกา โลกจะเคลื่อนตัวสู่ระบบพหุขั้วอำนาจ มากยิ่งขึ้น ความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามเย็นถดถอยลง กุศโลบายในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายสันติภาพเชิงรุกและยุทธศาสตร์เพื่อเอกราชและอธิปไตยจึงมีความสำคัญยิ่ง

สำหรับไทยประเทศซึ่งมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของภูมิภาคสามารถเชื่อมโยงกับทุกประเทศอาเซียนได้ จึงต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงและโอกาสมากกว่าประเทศอื่นๆ หากดำเนินการหรือตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ไม่ดีพอ อาจนำประเทศเข้าสู่ทศวรรษแห่งความถดถอยได้ หากมีการวางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม มีรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ในการนำพาประเทศสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศไทย หากไม่ฉกฉวยและมุ่งมั่นให้บรรลุเป้าหมายแล้ว โอกาสก็จะผ่านเลยไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง ยิ่งสถานการณ์ระหว่างประเทศ และ ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์มีความขัดแย้งรุนแรงซับซ้อนมากเท่าไหร่ ขีดความสามารถทางนโยบายของไทยต้องมีความยืดหยุ่น เท่าทันเพื่อรับมือความท้าทายต่างๆอย่างรอบด้าน โดยรัฐบาลพลเรือนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ต้องแสดงบทบาทผู้นำอันเข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ และยึดถือประโยชน์ของสาธารณชน หากรัฐบาลล้มเหลว เราก็จะไม่มีหลักประกันใดๆต่ออธิปไตยต่อระบอบประชาธิปไตยยังดำรงอยู่ต่อไปได้ และจะเป็นการเปิดทางให้เกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่สงครามขัดแย้งใหญ่โตพร้อมกับการฟื้นกลับมาอีกครั้งหนึ่งของระบอบเผด็จการอำนาจนิยม

ขณะเดียวกันความเสี่ยงของความขัดแย้งเรื่องดินแดนจะยังคงอยู่ในระดับสูงหากกัมพูชายังอยู่ภายใต้ระบอบอำนาจนิยมเบ็

ดเสร็จ หากมีการเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ความเสี่ยงของความขัดแย้งเรื่องดินแดนจะลดลง เมื่ออำนาจของประชาชนเพิ่มขึ้น โอกาสของสงครามจะลดลง เพราะ ประชาชน ไม่ได้ต้องการสงคราม คนที่ต้องการสงคราม คือ “ชนชั้นนำ”
ที่ต้องการรักษาอำนาจ เป็นเรื่องความทะเยอทะยานส่วนบุคคล เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและเครือข่าย

นายอนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า บทบาทการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทยและการดำเนินการทางการทูตที่เท่าทันต่อสถานการณ์ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “ไทย” รอดพ้นสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม การดำเนินการยุทธศาสตร์ “สันติภาพ” เชิงรุก ของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เริ่มตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองประทุขึ้น วิสัยทัศน์สันติภาพได้ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์และนวนิยาย “พระเจ้าช้างเผือก” ทุนนิยมโลกภายใต้ฉันทามติวอชิงตันกำลังถูกท้าทายมากขึ้น ระบบทุนนิยมโลกเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคศูนย์กลางโลกหลายศูนย์กลางโดยที่เอเชียตะวันออกเคลื่อนตัวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับ นโยบายการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลกและการปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทาง “ฉันทามติวอชิงตัน”โดยมีสหรัฐอเมริกาถูกท้าทายมากขึ้นด้วยพลวัตเศรษฐกิจของระบบพหุขั้วอำนาจ มีการเกิดขึ้นของกลุ่ม BRICs

“ขบวนการเสรีไทย” และ “วันสันติภาพไทย” ทำให้เรานึกถึงการต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชอธิปไตยอย่างไม่ยอมจำนน

และเป็นการปลูกฝังให้ยุวชนรุ่นหลังรักสันติภาพอีกทั้งเป็นการประกาศให้นานาประเทศรับรู้เจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยที่จะยึดมั่นอุดมการณ์แห่งการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติและเอื้ออาทรต่อกัน เราเคยมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพในกัมพูชาสมัยสงครามกลางเมืองในกัมพูชา เราปรับเปลี่ยน “สนามรบ” เป็น “สนามการค้า” ในสมัยรัฐบาลชาติชาย นำมาสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกัน

“สันติภาพต้องเป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการ เราไม่สามารถสร้างสันติภาพได้ด้วยกำลังกดขี่ ด้วยความรุนแรง แต่ทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการสร้างความเป็นธรรม ด้วยมนุษยธรรม ด้วยประชาธิปไตย ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเข้าใจและเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์”

สังคมไทยจำเป็นต้องตระหนักว่า “สงคราม” มิได้จำกัดอยู่เฉพาะการใช้อาวุธ หากยังรวมถึงสงครามแห่งอารมณ์และวาทกรรมคลั่งชาติที่บ่อนทำลายความเป็นมนุษย์ ในสถานการณ์เช่นนี้ สื่อมวลชนทุกแขนงมีหน้าที่นำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน รับผิดชอบ ไม่ตกเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง หรือปลุกเร้ากระแสชาตินิยมสุดโต่งที่อาจนำสังคมไทยไปสู่เส้นทางแห่งความหายนะได้

ปรีดี พนมยงค์ เคยเตือนไว้ว่า “เป็นความจำเป็นและผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทยที่จะต้องอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติ ไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสงครามเย็นและสงครามประสาท

“การทำสงครามนั้นมิใช่กีฬาธรรมดา หากเอาชาติเป็นเดิมพัน” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพคือคุณค่าที่สำคัญยิ่งต่อประเทศไทยซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญทางจริยธรรมในการยืนหยัดต่อต้านกระแสสงครามในนามของ “ความรักชาติ”เราจึงขอเตือนสังคมไทยให้มีสติ ระวังต่อความกระหายสงคราม ที่แฝงมากับวาทกรรมปลุกเร้าเกลียดชัง

ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลาย และบ่อนทำลายโอกาสของสันติภาพในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ส.ค. 68)