
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย. ที่ 9.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 9.05 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 10% โดยมูลค่ารวมเกินกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
ญี่ปุ่นยังครองตำแหน่งผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าระดับสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 1.147 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์จากเดือนพ.ค. ขณะที่สหราชอาณาจักรในฐานะผู้ถือครองรายใหญ่อันดับ 2 เพิ่มการถือครองขึ้นแตะ 8.581 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.6% จาก 8.094 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. โดยสหราชอาณาจักรแซงหน้าจีนขึ้นมาอยู่ในอันดับนี้ตั้งแต่เดือนมี.ค. และมักถูกใช้เป็นศูนย์กลางเก็บรักษาหลักทรัพย์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เช่นเดียวกับหมู่เกาะเคย์แมนและบาฮามาส
จีนซึ่งปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 3 ได้เพิ่มการถือครองเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.564 แสนล้านดอลลาร์ จาก 7.563 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2552 โดยสต๊อกพันธบัตรลดลงแตะ 7.442 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งที่เคยถือครองสูงกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2555-2559 ซึ่งการลดการถือครองดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหนุนค่าเงินหยวน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาหลังโควิด และข้อจำกัดด้านการค้า ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก
ข้อมูลยังชี้ว่า นักลงทุนต่างชาติรายอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ฮ่องกงและอินเดีย ปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหลือ 2.426 แสนล้านดอลลาร์ และ 2.274 แสนล้านดอลลาร์ตามลำดับ
ส่วนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยมียอดเงินไหลเข้า 1.631 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ต่อเนื่องจาก 1.158 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. อย่างไรก็ตาม กระแสเงินทุนสุทธิที่ไหลเข้าสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 7.78 หมื่นล้านดอลลาร์ หดตัว 75% จาก 3.181 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567
แม้การถือครองพันธบัตรโดยรวมทำสถิติสูงสุด แต่ในเชิงการทำธุรกรรม สหรัฐฯ กลับมียอดเงินไหลออก 5 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. หลังจากในเดือนพ.ค. มียอดซื้อพันธบัตรกว่า 1.47 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 ขณะที่เดือน เม.ย. มียอดเงินไหลออก 4.08 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายภาษีที่ปรับเปลี่ยนไปมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ส.ค. 68)