
กลุ่มองค์กรในอุตสาหกรรมการเงินเรียกร้องให้คณะกรรมการบาเซิลว่าด้วยการกำกับดูแลธนาคาร (Basel Committee on Banking Supervision) ทำการพิจารณามาตรฐานกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีอีกครั้ง โดยพวกเขาเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตนั้นอาจทำให้ธนาคารเข้าร่วมตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้ยาก
จดหมายเปิดผนึกระบุว่า มาตรฐาน Cryptoasset Standard ที่เข้มงวดเรื่องคุณสมบัติต่าง ๆ และวิธีการตั้งสำรองเงินทุนเพื่อรองรับความเสี่ยง ทำให้การลงทุนหรือการให้บริการเกี่ยวกับคริปโทฯ มีค่าใช้จ่ายสูงเกินไปเมื่อเทียบกับผลตอบแทน ทำให้ธนาคารส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าร่วมในตลาดคริปโทฯ
ในจดหมายยังเรียกร้องให้คณะกรรมการบาเซิลซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานกำกับดูแลและธนาคารกลางจากศูนย์กลางการเงินหลักของโลก ชะลอการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ชั่วคราว โดยรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และพิจารณาปรับปรุงมาตรฐานให้เหมาะสมมากขึ้น
แม้ว่าตลาดคริปโทฯ ยังเป็นเพียงส่วนเล็กของระบบการเงินโดยรวม แต่ก็เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยราคาคริปโทเคอร์เรนซีทำสถิติสูงสุดใหม่ และตลาดคริปโทฯ ยังเชื่อมโยงกับตลาดการเงินทั่วไปมากขึ้น
ธนาคารต่าง ๆ พยายามใช้โอกาสจากสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบในสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบายสนับสนุนคริปโทฯ โดยในปีนี้ หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ ได้ง่ายขึ้น
สำหรับองค์กรที่ร่วมลงนามในจดหมายประกอบด้วยสมาคมตลาดการเงินโลก (Global Financial Markets Association), สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Institute of International Finance) และสมาคมสัญญาแลกเปลี่ยนทางการเงินและตราสารอนุพันธ์ระหว่างประเทศ (International Swaps and Derivatives Association) ซึ่งทำหน้าที่ล็อบบี้ให้กับภาคการเงินหลัก รวมถึงกลุ่มองค์กรในอุตสาหกรรมคริปโทฯ
คณะกรรมการบาเซิลไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎระเบียบโดยตรง แต่สมาชิกตกลงที่จะนำมาตรฐานต่าง ๆ ที่คณะกรรมการบาเซิลกำหนดไปใช้กับธนาคารระหว่างประเทศในเขตอำนาจของตน โดยมาตรฐานเกี่ยวกับคริปโทมีกำหนดบังคับใช้ในเดือนม.ค. 2569
ทั้งนี้ เหตุการณ์ล้มละลายของบริษัทคริปโทฯ รายใหญ่หลายแห่งในปี 2565 ทำให้นักลงทุนหลายล้านคนสูญเสียเงินจำนวนมาก และเปิดเผยให้เห็นถึงพฤติกรรมผิดกฎหมายที่แพร่หลายในอุตสาหกรรม จนนำไปสู่ความต้องการกฎระเบียบเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมคริปโทฯ มากขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ส.ค. 68)