
ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวัน ได้แถลงวันนี้ (22 ส.ค.) โดยแสดงเจตจำนงว่า งบประมาณด้านกลาโหมจะบรรลุถึงระดับ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ให้ได้ก่อนปี 2573 นับเป็นการยกระดับเป้าหมายในการเสริมสร้างงบฯ ทางการทหารของไต้หวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ผลักดันมาโดยตลอด
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลเพิ่งประกาศว่า แผนงบประมาณกลาโหมปีหน้าอยู่ที่ 9.495 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน (3.127 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือคิดเป็น 3.32% ของ GDP โดยงบประมาณดังกล่าวรวมถึงเงินทุนสำหรับหน่วยยามฝั่ง (Coast Guard), ทหารผ่านศึก และโครงการพิเศษต่าง ๆ
ท่าทีของไต้หวันมีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทั้งทางการทหารและการเมืองจากรัฐบาลจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลปักกิ่งถือว่าเกาะไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของตน ทั้งยังไม่เคยประกาศละทิ้งการใช้กำลังเพื่อการรวมชาติ
นอกจากนี้ ไต้หวันยังเผชิญกับการเรียกร้องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เพิ่มงบฯ ในการป้องกันตนเองให้มากยิ่งขึ้น ในลักษณะเดียวกันกับที่สหรัฐฯ ได้เคยแสดงท่าทีกดดันต่อชาติพันธมิตรในยุโรป
ระหว่างการตรวจเยี่ยมฐานทัพเรือแห่งหนึ่งบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ปธน.ไล่ได้กล่าวชี้แจงว่า ภัยคุกคามจากจีนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่างบประมาณกลาโหมจะสามารถบรรลุถึงระดับ 5% ของ GDP ได้ก่อนปี 2573
“นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของประเทศเราในการพิทักษ์ความมั่นคงของชาติ ตลอดจนปกป้องประชาธิปไตย เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนเท่านั้น” ปธน.ไล่กล่าว “แต่ยังเป็นการแสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ของเราที่จะยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาคมโลก เพื่อร่วมกันแสดงพลังในการป้องปราม และธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ส.ค. 68)