
กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านออกโรงประณามการตัดสินใจของออสเตรเลียในการขับไล่เอกอัครราชทูตอิหร่านและเจ้าหน้าที่อีกสามคนออกจากประเทศเมื่อวันอังคาร (26 ส.ค.) โดยระบุว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร และขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ
แถลงการณ์ของกระทรวงฯ ระบุว่า อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาของออสเตรเลียที่ระบุว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีต่อต้านชาวยิวในออสเตรเลีย พร้อมกับโต้แย้งว่าโลกตะวันตกใช้ประเด็น “การต่อต้านชาวยิว” เพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้วิจารณ์สิ่งที่อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์
กระทรวงฯ ระบุว่า ออสเตรเลียเดินตามนโยบายของอิสราเอลเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจาก “การกระทำอันโหดร้ายที่ยังคงดำเนินอยู่” ของอิสราเอลในฉนวนกาซา และเพื่อเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค พร้อมทั้งเตือนว่าอิหร่านอาจใช้มาตรการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
อิหร่านเรียกร้องให้ออสเตรเลียทบทวน “การตัดสินใจที่ผิดพลาด” และระบุว่าออสเตรเลียจะต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบใด ๆ ก็ตามที่อาจเกิดขึ้นกับชาวอิหร่านในออสเตรเลีย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงข่าวว่า องค์การข่าวกรองความมั่นคงแห่งออสเตรเลีย (ASIO) มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า อิหร่านเป็นผู้สั่งการโจมตีต่อต้านชาวยิวอย่างน้อยสองครั้งในซิดนีย์และเมลเบิร์นตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 พร้อมประกาศขับไล่เอกอัครราชทูตอิหร่านและเจ้าหน้าที่อีกสามคนให้เดินทางออกจากประเทศภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นการขับไล่นักการทูตต่างชาติครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนี้ นายกฯ อัลบาเนซียังประกาศระงับการดำเนินงานของสถานทูตออสเตรเลียในกรุงเตหะราน โดยนักการทูตทั้งหมดได้เดินทางไปยังประเทศที่สามอย่างปลอดภัยแล้ว พร้อมกันนี้ รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมดำเนินการขึ้นบัญชีกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่าน ในฐานะองค์กรก่อการร้าย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)