“เผ่าภูมิ” ให้ความเชื่อมั่นเวที Thailand Focus ชี้ ศก.ไทยครึ่งปีแรกโตแกร่งหนุนทั้งปีทะลุ 2.2% จ่อกระตุ้นเพิ่ม

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวในงาน Thailand Focus 2025 : Beyond the Challenges หัวข้อ “Policy & Markets: Building Confidence in Thailand’s Investment Climate” โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 อาจจะโตมากกว่า 2.2% จากแรงส่งครึ่งปีแรกที่เติบโตดี ซึ่งกระทรวงการคลังได้ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีเป็นเติบโตที่ 2.2% ในปีนี้ และอาจจะโตมากกว่านี้ได้

ขณะที่เศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโตในระดับปานกลาง ท่ามกลางผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาโลกร้อน การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกระแสพลังงานงานสะอาด

ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรกลายเป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ เรากำลังเตรียมความพร้อมผ่านการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การบริหารจัดการน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น เพื่อให้การเติบโตสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 68 มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยได้แรงหนุนจากห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเข้าถึงตลาดที่หลากหลาย และประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นผ่านประตูการค้าและระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ

ขณะที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับพรีเมียม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแพทย์ กีฬา และ MICE กำลังขยายตัว และสนับสนุนการจ้างงานในภาคบริการทั่วทุกภูมิภาค

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปรับตัวไปกับกระแสโลก เศรษฐกิจในประเทศมีความเข้มแข็งและสามารถเผชิญกับความท้าทายได้ โดยเศรษฐกิจในครี่งปีแรกเติบโตได้ดี 3% ความท้าทายคือ การรักษาโมเมนตัมของการเติบโตในช่วงครึ่งแรกให้ยั่งยืน

“ตัวเลขการส่งออกดีมาโดยตลอด แน่นอนจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังนิดหน่อย แต่ GDP ครึ่งปีแรกเราดีมาก เฉลี่ยที่ 3% ครึ่งปีหลังต่ำกว่า 3% แน่นอน แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ GDP ปี 68 จะมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบันที่ 2.2%

การปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้นนั้นมาจากแรงส่งที่แข็งแกร่งเกินจากในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะภาคการส่งออก ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ รวมทั้งการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวจากภาวะปกติ โดยมีค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวระดับพรีเมียม เช่น สุขภาพ การแพทย์ กีฬา และ MICE กำลังขยายตัวและหนุนให้เกิดการจ้างงานในภาคบริการทั่วทั้งภูมิภาค”นายเผ่าภูมิ กล่าว

ด้านการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% ซึ่งถือเป็นดีลที่ดีกว่าหากเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคก สินค้าไทยจำนวนมากมีโอกาสที่จะถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำมากกว่า เพราะมีสัดส่วนการผลิตในประเทศมากกว่าหลายประเทศคู่แข่ง นายเผ่าภูมิอ้างถึง ระบบภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่จะเก็บภาษีสินค้าที่ถูกสวมสิทธิสูงกว่าภาษีสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศคู่ค้า

ประกอบกับตัวเลขขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอที่สูงเป็นประวัติการณ์ในครี่งปีแรก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อดึงดูดเม็กเงินลงทุนใหม่ ๆ รวมถึงการผลักดัน พ.ร.บ. ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ซึ่งกำลังเข้าสู่การประชุมของสภาฯ วาระ 1 ในอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อจากนี้

นอกจากนี้รัฐบาลยังทำนโยบายปฏิรูปภาคตลาดทุนและตลาดการเงิน โดยการปฏิรูปตลาดทุนมีการพัฒนาใน 4 เสาหลัก ได้แก่ อุปสงค์ (Demand) อุปทาน (Supply) กฎเกณฑ์และการกำกับ และเทคโนโลยี ด้านการสร้างอุปสงค์ เราส่งเสริมการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวม โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อจูงใจ เช่น RMF และกองทุน Thai ESG โดยเฉพาะล่าสุด ThaiESGX เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเพื่อความยั่งยืนรูปแบบพิเศษที่ช่วยดึงดูดเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าตลาดทุนไทย

ด้านอุปทาน ได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้ง LiveX ที่เป็นช่องทางในการระดมทุนให้ SME และ Start Up ขณะที่ด้านกฎเกณฑ์ อยู่ระหว่างการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อส่งเสริมการใช้กระบวนการดิจิทัลในการออกและทำธุรกรรมหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับด้านเทคโนโลยี ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมมือกับ NASDAQ เพื่อยกระดับระบบซื้อขายและการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐานสากล พร้อมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการซื้อขายที่ผิดปกติ

สำหรับแผนการในอนาคตด้านเทคโนโลยี ล่าสุดได้เปิดตัว Tourist DigiPay ระบบชำระเงินใหม่ที่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลมาเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในไทยได้และเข้าถึงธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงการออก G-Token นำเสนอโทเคนเพื่อการลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล เพื่อขยายโอกาสการลงทุนในโครงการต่างๆของภาคเอกชน และลดต้นทุน

นายเผ่าภูมิให้สัมภาษณ์หลังว่า หากสถานการณ์จำเป็น รัฐบาลก็อาจจะมีมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกหลังจากที่ออกแพคเก็จการคลังมูลค่า 1.5 แสนล้านบาทไปแล้ว ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีช่องที่จะลดดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายการเงินจะพิจารณา

ในประเด็นด้านหนี้สาธารณะ นายเผ่าภูมิยืนยันว่าไม่มีความกังวล โดยชี้ว่าตัวเลขหนี้สาธารณะต่อ GDP ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 64% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบหลายเดือน สะท้อนให้เห็นว่าหนี้เติบโตช้ากว่า GDP ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนด้านนโยบายการเงินก็ยังคงมีพื้นที่เพียงพอที่จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกหากมีความจำเป็น

ขณะที่ประเด็นการเมืองในประเทศ นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าจะอยู่ครบวาระ และดำเนินนโยบายต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ ไม่มีประเด็นอะไรที่จะกระทบเรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระทรวงต่าง ๆ ก็เดินหน้าผลักดันนโยบายต่าง ๆ ต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)