รัฐ-เอกชน ฉายภาพไทยจุดหมายนลท.ทั่วโลก โครงสร้างพื้นฐานเข้มแข็ง นโยบายเอื้อลงทุน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges หัวข้อ “Thailand’s Competitiveness & Investment Outlook” ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เห็นได้จากอัตราการเติบโตในการลงทุนในประเทศไทยในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 35% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหลัก ๆ คือ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และไต้หวัน และประเทศไทยมีความโดดเด่นสำหรับนักลงทุนเพราะมีท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ และมีโครงสร้างพื้นฐานทั้งในแง่การคมนาคมและศูนย์รวมข้อมูลชั้นนำที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเป็นอย่างมาก

ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี 17 ฉบับ กับ 74 ประเทศ และกำลังเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป และแคนาดาอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นในด้านซัพพลายเชน โดยเฉพาะในธุรกิจยานยนต์ และเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจพลังงานสีเขียว พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีก้าวหน้า

นอกจากนี้รัฐบาลยังออกมาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เช่น การตั้งศูนย์บริการครบวงจร (one-stop service) ที่อาคารวัน แบงคอก และการออกวีซ่า 10 ปีพ่วงใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานที่มีทักษะ เป็นต้น ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่และดึงดูดทั้งภาคธุรกิจและแรงงาน แต่สิ่งที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาก็คือความสามารถของแรงงานไทย ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้างความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ส่วนปัญหากำแพงภาษีของสหรัฐฯมีผลกระทบต่อประเทศไทยในแง่ศักยภาพการแข่งขัน และความน่าดึงดูดใจในการลงทุนอย่างไร ในประเด็นนี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ให้ความเห็นว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังมีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ประมาณหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงบริษัทในเครือ เช่น CP Axtra, CPF และ CP All ก็ยังมีการลงทุนในประเทศไทยรวมกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเช่นกัน

นายศุภชัย มองว่าประเทศไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง อันจะเห็นได้จากการลงทุนด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญในอาเซียนและภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะการลงทุนในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนโดยตรงอันดับหนึ่งของประเทศจีนในภูมิภาคอาเซียน

สาเหตุหลักที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง ก็คือการที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์เชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพสูง กล่าวคือ ประเทศไทยได้เปรียบในแง่ฐานที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐาน แรงงานที่มีทักษะ ทั้งที่เป็นแรงงานในประเทศและแรงงานต่างประเทศที่เลือกมาพำนักในประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนโยบายต่าง ๆ ของประเทศที่ดึงดูดและเอื้อให้แรงงานและภาคธุรกิจต่างประเทศต้องการมาลงทุน/ทำงานในไทย เช่น นโยบายอนุญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยได้ 99 ปี เป็นต้น แม้จะมีความท้าทายต่างๆ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ประเทศไทยก็ยังเป็น “ที่ที่ใช่” สำหรับนักลงทุนในระยะยาวอย่างแน่นอน

นายชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่าบริษัทได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ด้วยความมุ่งหวังที่จะตั้งฐานที่มั่นในไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความแข็งแกร่งทางภูมิศาสตร์ และมีความต้องการในเทคโนโลยีระดับสูง ทำให้ตอนนี้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีในอาเซียนและเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพที่จะขยายเป็นศูนย์กลางของโลกในอนาคต เพราะในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการลงทุน และทุกภาคธุรกิจต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางเทคโนโลยีในการดำเนินการและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น นโยบาย Cloud First Policy แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก และประเทศไทยกำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยี เช่น หัวเว่ย ซึ่งบริษัทไม่ได้มองแค่ว่าประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังเป็นมิตรประเทศกับประเทศจีน ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์กันมายาวนานและจะพัฒนาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปผ่านการลงทุนทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

ส่วนกำแพงภาษี 19% ของสหรัฐ นายนฤตม์ มองว่าสงครามภาษีและสงครามเทคโนโลยีเป็นเกมระยะยาวที่สามารถปรับเปลี่ยนและเจรจาได้ตลอดเวลา ประเทศไทยในขณะนี้มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและเป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับนักลงทุน ทำให้ประเทศไทยยังถือว่าได้เปรียบอยู่ อีกทั้งทีมเจรจาของรัฐบาลก็กำลังพยายามเจรจากับสหรัฐอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ประเทศไทยได้ผลประโยชน์สูงสุด

ขณะที่นายศุภชัย มองว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับประโยชน์จากกำแพงภาษีเพราะว่าในอดีตเครือฯ ได้นำเข้าวัตถุดิบจากอเมริกาใต้และยุโรป การนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐจะส่งผลดีให้กับเครือฯ ได้มากขึ้นในระยะยาว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการพัฒนาภาคเกษตรกรรมในไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวโพด ที่ควรจะพัฒนาจากการเพาะปลูกดั้งเดิมไปสู่การเพาะปลูกแบบอุตสาหกรรม รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ต่างๆ เช่นกัน ที่ควรพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูก และรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาการเพาะปลูกซึ่งกันและกัน

ในประเด็นซัพพลายเชน นายชวพลมองว่าประเทศไทยได้พบกับความท้าทายอันหลากหลาย แต่ก็เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มธุรกิจเช่นกัน เพราะทำให้ภาคธุรกิจซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ต้องสร้างความแตกต่างในการบริการให้กับกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ภาคเกษตรกรรม เป็นต้น การนำเทคโนโลยี และ AI เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจก็ทำให้การเพาะปลูกทำได้มาตรฐานยิ่งขึ้น และทำให้ภาคเทคโนโลยีต้องยิ่งพัฒนาตนเอง เช่น หัวเว่ยเองก็เน้นการลงทุนในการวิจัยและพัฒนามากถึง 25% ของงบประมาณในแต่ละปี

สิ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาช่องว่างทักษะในแรงงานได้ ก็คือการวางนโยบายให้ดึงดูดแรงงานต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นทางลัดในการแก้ไขปัญหานี้แล้ว ยังเอื้อให้มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับแรงงานไทยอีกด้วย ซึ่งจะทำให้แรงงานไทยพัฒนาทักษะและสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้การลงทุนในภาคธุรกิจ Wellness และการแพทย์ในไทยทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับแรงงานต่างชาติเป็นอย่างมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)