“ชนินทรธ์” เดือด! ลั่นสู้แตกหักคนในผนึกกลุ่ม”เซ็นทรัล”ยึด DUSIT ชิงเดิมพันก้อนใหญ่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค”

นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บมจ. ดุสิตธานี [DUSIT] เปิดแถลงด่วนหลังจากบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ภายใต้การบริหารงานด้วยเสียงส่วนใหญ่ของน้องสาว 2 คน ซึ่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ DUSIT เสนอวาระให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งกรรมการในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น DUSIT วันที่ 26 ก.ย.68 นี้ พร้อมแต่งตั้งกรรมการใหม่เข้ามาในบอร์ด หลังจากกระแสความขัดแย้งภายในกลุ่มทายาทของ “ดุสิตธานี” ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง

นายชนินทธ์ ยืนยันว่า การออกมาแถลงข่าวครั้งนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัว แต่เป็นการ “ปกป้องดุสิตธานี” จากการถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม โดยเขาต้องการรักษา “มรดกทางจิตวิญญาณ” และแบรนด์ไทยที่ครอบครัวสร้างมานานกว่า 76 ปี

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามไกล่เกลี่ยที่เกิดขึ้นเพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่เมื่อการกระทำแบบเดียวกันได้ขยายมาถึง บมจ.ดุสิตธานี และมีการพยายามนำบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร จึงจำเป็นต้องออกมาพูดเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง และขอให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยช่วยกันจับตาไม่ให้การ “Take Over” ที่ไม่โปร่งใสเกิดขึ้น

“และที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันให้ผมแบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานีออกเป็นสามส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้งๆ ที่ข้อบังคับของบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่าไม่ให้ขายหุ้นให้แก่คนนอกครอบครัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้เท่ากับเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวสร้างมาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง”

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะมีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล และการเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอกที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จัก “ดุสิตธานี” อย่างแท้จริงมาก่อน โดย 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัท เป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้าควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพันดุสิตธานีได้

การเสนอชื่อกรรมการใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มจาก 12 เป็น 18 คน และเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม เป็นการทำให้อำนาจการควบคุมกิจการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย คณะกรรมการ และทีมงานที่ทุ่มเททำงานมาเกือบ 10 ปี

นายชนินทธ์ กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ DUSIT มาแล้วหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นจนถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้เราทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จนต้องไปเจรจาขอให้ขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจเรามีความทับซ้อนกัน เช่น ธุรกิจสายโรงแรมก็มีการแข่งขันกันโดยตรง และยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารเหมือนกัน ด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์

ทั้งนี้ ณ วันที่ 21 มี.ค.68 บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถือหุ้นใน DUSIT สัดส่วน 49.74% ขณะที่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา [CPN] ถือหุ้น 17.09%

และต่อมาได้ทราบมาจากหลายช่องทางและเข้าใจว่าทางกลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสองได้มีการหารือกันหลายครั้งเพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม เข้าใจว่าอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการ DUSIT ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส และยังอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากความทับซ้อนของธุรกิจ

และที่สำคัญ ณ ปัจจุบัน โครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส สามารถขายไปได้แล้วกว่า 92% เพราะผู้ซื้อเชื่อมั่นในชื่อเสียงและการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ และการไม่เอาเปรียบผู้ซื้อของ DUSIT แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และอาจจะส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุดที่จะเริ่มขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า และกระทบต่อความเชื่อมั่นในโครงการทั้งหมด

การที่พยายามจะเอาคนนอกที่ไม่ได้เข้าใจความเป็น “ดุสิตธานี” เข้ามากุมอำนาจในช่วงนี้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับหลายๆ ฝ่าย ซึ่งอาจจะสร้างผลกระทบในทางลบกับบริษัทอย่างมาก ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ DUSIT จะสร้างผลกระทบให้กับเจ้าของโรงแรมที่ไว้วางใจให้ DUSIT บริหารให้เกือบ 300 แห่งทั่วโลก หรือแม้แต่หุ้นส่วนที่มาเข้าลงทุนกับบริษัทในเครือ ลูกค้าที่มาใช้บริการโรงแรม รวมถึงลูกค้าในโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส กว่า 400 คนที่มาซื้อห้องชุด ด้วยความเชื่อถือและมั่นใจในคณะกรรมการ และผู้บริหารชุดปัจจุบัน

นายชนินทธ์ กล่าวว่า ถ้าสุดท้ายต้องถูกถอดถอนจากกรรมการ DUSIT จริง ก็พร้อมยอมรับหากทุกอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นการถอดถอนด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องก็จะต่อสู้ตามกฎหมายและทุกช่องทางเพื่อปกป้องบริษัทและผู้ถือหุ้นทุกคน

“ผมไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่ผมเห็นว่าสิ่งที่น่าห่วงคือ การที่คนที่มีประวัติด่างพร้อย หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน เข้ามานั่งเป็นกรรมการของดุสิตธานี นั่นคืออันตรายต่ออนาคตของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งหมด ผมเพียงปกป้องความถูกต้อง”

หากกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาควบคุมดุสิตธานี นายชนินทธ์ เห็นว่าอนาคคตบริษัทมีความเสี่ยงคือ ทิศทางบริษัทอาจจะไม่เป็นอิสระ และอาจเสียเอกลักษณ์ที่เราสร้างมากว่า 76 ปี ผมเชื่อว่าดุสิตธานีควรเป็นแบรนด์ไทยที่ขับเคลื่อนด้วยเจตนารมณ์ดั้งเดิม

 

*โต้ข้อกล่าวหาทำขาดทุน

นายชนินทธ์ กล่าวถึงผลการบริหารงานที่ผ่านมาซึ่ง DUSIT ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงว่า ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการใหญ่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท การลงทุนในโครงการต่างๆ ก่อนที่จะเกิดโควิด และความพยายามในการประคับประคองกิจการในช่วงโควิด โดยที่เราไม่เคยเพิ่มทุนแม้แต่น้อย ไม่เคยผลักภาระไปยังผู้ถือหุ้น แต่พยายามอย่างมากที่จะดูแล ประคับประคองกิจการ ดังนั้น นี่ไม่ใช่การล้มเหลวทางธุรกิจ แต่เป็นรากฐานในการสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไป

วันนี้เราได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เราทำได้ โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยความเชื่อมั่น และการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ตลอดจนคณะกรรมการของบริษัททุกๆ ท่าน ทั้งที่พ้นวาระไปแล้ว เพราะบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่เลือกให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ และคณะกรรมการบริษัทชุดปัจจุบัน รวมถึงคณะผู้บริหารที่นำโดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT และพนักงานของดุสิตธานีทุกคนที่ทุ่มเททำงานกันมาอย่างหนักเป็นเวลา 7-8 ปี เราต้องผ่านทั้งปัญหาเรื่องโควิด ปัญหาเรื่องการขอกู้เงินธนาคาร ซึ่งมีนโยบายระงับการให้สินเชื่อในช่วงโควิด ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างช่วงโควิด การมีสงครามในหลายประเทศทำให้วัสดุก่อสร้างราคาแพงขึ้น ปัญหาคอนโดล้นตลาด และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ทุกคนร่วมต่อสู้กันมาโดยตลอด ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก ตั้งแต่หลักการ แนวคิด และการออกแบบให้โครงการมีความแตกต่างจากที่อื่น และมีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น ทุกอาคารในโครงการมองเห็นวิวสวนลุมพินีอย่างเต็มตา

ตอนนี้โครงการทั้งหมดกำลังเดินไปได้ดีมาก โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่เปิดมาไม่ถึงปี ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นโครงการห้องชุดขายไปแล้วกว่า 92% รอทยอยรับรู้รายได้การโอนอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า และจะช่วยให้เรามีรายได้เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังจะมีกำไรมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รายได้เหล่านี้ จะมาช่วยปลดภาระหนี้ที่ค้างอยู่ นอกจากนี้ เรายังพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ดีงามให้กับสังคม เช่น สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งนี่คือ แนวคิดของผม ที่ต้องการสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพ ดังนั้น ความสำเร็จเหล่านี้ คือ เครื่องพิสูจน์ว่า ดุสิตธานีกำลังจะก้าวผ่านช่วงที่ยากที่สุด และเดินสู่การเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง”

กรณีมีคนวิจารณ์ว่านายชนินทธ์บริหารผิดพลาด ทำให้บริษัทขาดทุนจนเป็นโอกาสให้ถูก Take Over นายชนินทธ์กล่าว่า ไม่จริง สิ่งที่บริษัททำคือการตัดสินใจลงทุนเพื่ออนาคต ในช่วงวิกฤตโควิด โครงการใหญ่เช่นนี้ย่อมมีภาระทางการเงิน แต่เรากัดฟันสู้โดยไม่เพิ่มทุนแม้แต่บาทเดียว วันนี้โครงการใกล้เสร็จ พร้อมจะสร้างรายได้มหาศาล คนที่บอกว่าผมบริหารผิดพลาด กำลังมองเพียงตัวเลขชั่วคราว ไม่ได้มองศักยภาพในอนาคต

“สิ่งที่บริษัททำคือการตัดสินใจลงทุนเพื่ออนาคต ในช่วงวิกฤตโควิด โครงการใหญ่เช่นนี้ย่อมมีภาระทางการเงิน แต่เรากัดฟันสู้โดยไม่เพิ่มทุนแม้แต่บาทเดียว วันนี้โครงการใกล้เสร็จ พร้อมจะสร้างรายได้มหาศาล คนที่บอกว่าผมบริหารผิดพลาด กำลังมองเพียงตัวเลขชั่วคราว ไม่ได้มองศักยภาพในอนาคต”

 

*เปิดใจจุดเริ่มต้นปัญหา

นายชนินทธ์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นปัญหาจากภายในครอบครัว ไม่ได้มาจากความวุ่นวายในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ผ่านมา และการไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 แต่เกิดขึ้นหลังจากท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้เป็นแม่ได้สิ้นชีวิตลง น้องสาวทั้งสองได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เพื่อปลดเขาออกจากการเป็นกรรมการในบริษัททั้งหมด ทั้งที่ท่านผู้หญิงฯ ได้มอบหมายให้เขาเป็นเสาหลักในการดูแลกิจการทั้งดุสิตธานี และธุรกิจอื่นของครอบครัวเป็นเวลากว่า 30 ปี

ในอดีตที่ผ่านมา อำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิงฯ คือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับเขา หรือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับคุณสินี เธียรประสิทธิ์ แต่เมื่อท่านผู้หญิงฯ ไม่อยู่แล้ว เขาคือผู้ลงนามหลักที่ต้องลงนามร่วมกับคุณสินี หรือลงนามร่วมกับน้องคนเล็ก

ต่อมา น้องทั้งสองคนได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่มารดากำหนดไว้เพื่อแก้ไขอำนาจกรรมการ โดยไม่ฟังเสียงค้าน จากที่เขามีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับใครคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนให้เป็นกรรมการสองในสามลงนามร่วมกัน หลังจากนั้นน้องๆ ก็ร่วมกันปลดเขาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงปลดออกจากกรรมการทุกบริษัทในกองมรดก ทั้งที่เขาเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรม จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและขอพึ่งบารมีศาล

ต่อมาในช่วงโควิด พี่น้องทั้งสามคนตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT ) บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) โดยทุกฝ่ายตกลงให้เขาได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีกสองบริษัท และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย แต่ในภายหลัง น้องทั้งสองคนกลับเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นผลมาจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิดหลังจากโควิดจบลง

ก่อนหน้านี้ พวกเขาใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ DUSIT แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมา ซึ่งผู้ที่จะต้องเสียหายไปด้วยก็คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตอบโต้ หรือทำอะไรได้เลย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)