
สภาผู้บริโภค ร่วมกับหน่วยงานประจำจังหวัดพะเยา สภาผู้บริโภค และคลินิกกฎหมายมหาวิทยาลัยพะเยา จัดเสวนาเชิงนโยบายหามาตรการควบคุมสัญญาขายฝากทองรูปพรรณ หลังพบร้านทองเปลี่ยนสัญญาจำนำเป็นขายฝากโดยไม่บอกลูกค้า ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากหลงเชื่อได้รับความเสียหายโดยไม่สมัครใจ พร้อมเสนอรัฐออกกฎคุมและกำหนดแบบสัญญา โดยนำแนวคุ้มครองของกรมที่ดินมาปรับใช้ เพื่อสร้างมาตรฐานและคืนความเป็นธรรมให้ผู้บริโภค
ว่าที่ร้อยตรีอภิสิทธิ์ ชำนาญยา หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดพะเยา สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ในช่วงปี 2566-2568 มีผู้บริโภคร้องเรียนปัญหาเกี่ยวกับร้านทองที่มีการรับจำนำและขายฝากรวม 21 เรื่อง ปัญหาที่พบมากคือผู้บริโภคมีเจตนาต้องการจำนำทอง แต่ถูกร้านค้าเปลี่ยนเป็นสัญญาขายฝาก ซึ่งขัดต่อเจตนาที่แท้จริง
โดยพฤติกรรมของร้านทองที่ผู้บริโภคพบเจอคือร้านทองมักจะแจ้งกับผู้บริโภคว่าเป็นสัญญาจำนำ และกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่ใกล้เคียงกับสัญญาจำนำ ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้บริโภคได้ทำสัญญาขายฝากไปแล้ว หากไม่สามารถไถ่ถอนได้ตามกำหนดก็จะถูกร้านค้ายึดทองคำไปในที่สุด โดยสัญญาจำนำ คือ สัญญาที่ให้กรรมสิทธิ์ทรัพย์อยู่กับผู้บริโภคที่จะนำทรัพย์สินไปจำนองและร้านหรือผู้รับจำนองมีสิทธิยึดทรัพย์เพื่อบังคับชำระหนี้หากผิดนัด แต่สัญญาขายฝากนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนไปยังร้านหรือผู้ซื้อฝากทันที ทำให้ผู้บริโภคไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นอีกต่อไป และหากไม่ไถ่ถอนภายในเวลาที่กำหนด ทรัพย์สินจะตกเป็นของร้านหรือผู้ซื้อฝากทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบังคับคดี
สำหรับปัญหาสำคัญที่เอื้อให้เกิดการเอาเปรียบคือกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของสัญญาขายฝากสังหาริมทรัพย์ไว้เฉพาะ ทำให้สัญญาที่จัดทำขึ้นไม่มีมาตรฐาน มีรายละเอียดน้อยเกินไป และแสดงข้อมูลเพียงบางส่วนตามที่ผู้ประกอบการพอใจ ขัดกับสิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา แตกต่างจากสัญญาขายฝากที่ดินที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับกรมที่ดิน รวมถึงมีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่ชัดเจน
“สัญญาขายฝากทองคำไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคไม่ทราบเงื่อนไขและแนวปฏิบัติที่แท้จริง และหากเกิดการละเมิด ผู้ประกอบการมักปฏิเสธความรับผิดชอบ” ว่าที่ร้อยตรีอภิสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สภาผู้บริโภคได้เสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมาย โดยเสนอให้ออกประกาศควบคุมและกำหนดแบบสัญญาสำหรับการขายฝากทองคำหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป เพื่อให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนและเพียงพอต่อผู้บริโภค รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายกับร้านทองที่ทำผิดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการรับจำนำหรือขายฝากที่ขัดต่อพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ข้อเสนอเหล่านี้จะถูกส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยสร้างความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในทุกด้านได้อย่างแท้จริง
ขณะที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้าร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนและนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวนั้นเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2474 และ พ.ร.บ.โรงรับจำนำ พ.ศ.2505 โดยกฎหมายโรงรับจำนำมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาชนและป้องกันอาชญากรรม โดยกฎหมายโรงรับจำนำควบคุมกิจการหลัก 3 ส่วน คือ สถานที่, การรับสิ่งของเพื่อไถ่คืนได้, และการทำเป็นอาชีพ ซึ่งผู้ประกอบการต้องมีใบอนุญาตและบันทึกข้อมูลผู้จำนำอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม สำนักงานส่วนกลางของกระทรวงมหาดไทยได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนอยู่บ่อยครั้ง และคาดว่าจะมีการปรับแก้กฎหมายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้ครอบคลุมถึงประเด็นการขายฝากมากขึ้น
ปัญหาสำคัญที่พบคือร้านทองบางแห่งเลี่ยงไปใช้คำว่าขายฝากแทนจำนำ ซึ่งมาตรา 4 ของกฎหมายโรงรับจำนำยังตีความไม่ชัดเจนว่าครอบคลุมการขายฝากหรือไม่ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายแตกต่างกันไป กระทรวงมหาดไทยจึงเสนอให้ประสานงานกับ สคบ. เพื่อกำหนดมาตรการร่วมกัน รวมถึงกำชับนายตรวจตามกฎหมายโรงรับจำนำให้กำกับดูแลร้านค้าอย่างเคร่งครัด หากพบการฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายที่มีโทษทางอาญา นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการร้านทอง เพื่อให้สัญญาที่ทำขึ้นตรงตามเจตนารมณ์ของผู้บริโภค
นายศุภฤกษ์ เรืองหิรัญวนิช นักสืบสวนสอบสวนปฏิบัติการ สคบ. กล่าวว่า ปัญหาการขายฝากทองรูปพรรณอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการชุดใหญ่ โดย สคบ.มีอำนาจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาและฉลากที่สามารถควบคุมดูแลได้ แต่ประกาศดังกล่าวอาจยังไม่ครอบคลุมสัญญาขายฝากอย่างครบถ้วน เนื่องจากมุ่งเน้นการควบคุมการขายขาดเป็นหลัก สคบ.ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม 9 เรื่องในช่วงปี 2565-2568 ซึ่งพบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวสัญญาอย่างเดียว แต่เกิดจากการสื่อสารที่ไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคก่อนทำสัญญา ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่ากำลังทำสัญญาจำนำ ทั้งที่จริงเป็นสัญญาขายฝาก
การควบคุมเฉพาะตัวสัญญาเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายทาง สิ่งสำคัญคือการควบคุมการสื่อสารอย่างเป็นธรรม โดย สคบ. มองว่าควรนำแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการควบคุมพฤติกรรมการให้บริการมาเป็นแนวทางในการยกร่างกฎหมายในอนาคต ทั้งนี้ สคบ.จะติดตามการแก้ไขกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยร่วมด้วย เพื่อหาแนวทางดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ยังเสนอให้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลังและ ธปท. เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะที่รอบด้านเกี่ยวกับการกำกับดูแลธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายโรงรับจำนำ ทั้งนี้ ปัญหาการขายฝากทองคำถือเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่ไม่มีการนิยามอย่างชัดเจน ทำให้การตีความและการบังคับใช้กฎหมายแตกต่างกัน
นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ร้านค้าทองคำส่วนใหญ่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการรับจำนำจึงเสนอให้มีการจัดทำ “ใบรับฝากทอง” มอบให้แก่ลูกค้าแทน แต่ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการรับฝากขายทองโดยตรง สมาคมฯ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำข้อกำหนดและรายละเอียดเกี่ยวกับการออกใบรับฝากทองให้มีความชัดเจน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชนและสร้างมาตรฐานให้แก่ร้านค้าทองคำทั่วประเทศในระยะยาว
นายสุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ ประธานอนุกรรมการด้านสินค้าและบริการ สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาผู้บริโภคอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากผู้บริโภคที่เข้าไปทำสัญญาจำนำกับร้านค้า แต่ไม่ได้ตระหนักถึงความแตกต่างและผลทางกฎหมายของการถูกปรับเปลี่ยนไปทำสัญญาขายฝาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสิทธิของผู้บริโภค การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน และเพื่อรวบรวมแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน เพื่อนำเสนอเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล เพื่อพิจารณาปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
นางชูเนตร ศรีเสาวชาติ อนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป สภาผู้บริโภค ชี้ว่า ข้อมูลร้องเรียนอาจน้อย แต่ปัญหาจริงมีมาก โดยเฉพาะช่วงที่ประชาชนต้องการใช้เงิน เช่น ช่วงก่อนเปิดเทอม และเสนอให้นำแนวทางคุ้มครองของกรมที่ดินและกรมการปกครองมาปรับใช้ เพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมาย และสร้างความเป็นธรรมให้ผู้บริโภค
นายอุดม งามเมืองสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำ จะเป็น พ.ร.บ.โรงรับจำนำ พ.ศ.2505 ที่บังคับใช้มายาวนาน โดยในปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยกำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายและรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสที่ดีต่อทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไป
“กฎหมายจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ร้านทองด้วย เพราะบางร้านอาจทำผิดโดยไม่รู้ตัว เช่น มีประชาชนส่งตั๋วจำนำของร้านทองมาให้ตรวจสอบ พบว่าร้านทองแต่ละแห่งทำสัญญาไม่เหมือนกัน บางกรณีถือเป็นการรับจำนำโดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงรับจำนำ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการให้สินเชื่อและร้านทองส่วนใหญ่คิดดอกเบี้ย 2-3% แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงรับจำนำ ก็ไม่สามารถคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดได้ ถือเป็น สัญญากู้ยืมเงิน ที่ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน” นายอุดม กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)