
บล.บัวหลวง ระบุว่าสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งมีกรอบเวลาการบริหารงานที่จำกัดเพียงไม่เกิน 4 เดือน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 69 จะมีโอกาสผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาได้ตามขั้นตอน แต่ด้วยข้อจำกัดเชิงอำนาจและกรอบเวลาของรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน อาจทำให้การใช้งบประมาณใหม่เป็นไปอย่างจำกัด อีกทั้งหากมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ก็อาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณมีแนวโน้มล่าช้าออกไป
จากข้อมูลเชิงประจักษ์ในอดีตพบว่า ช่วงเวลาที่เกิดการเลือกตั้งทั่วไป มักส่งผลให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐลดลงเฉลี่ย 30-40% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ ซึ่งความล่าช้าดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกระทบต่อการเติบโตของ GDP โดยเฉพาะในไตรมาส 4/68 และ ไตรมาส 1/69 ซึ่งอาจลดทอนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ราว 0.2% ดังนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า แม้งยประมาณปี 69 จะผ่านขั้นตอนตามกฎหมาย แต่หากไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพียงพอ ระบบงบประมาณอาจไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เบื้องต้น บล.บัวหลวงประเมิน 2 ฉากทัศน์หลัก ได้แก่
1) พรรคภูมิใจไทย + พรรคประชาชน (โอกาส 60%) คาดเพื่อไทยมีโอกาสยุบสภาสูง ทำให้ต้องจัดเลือกตั้งภายในธ.ค. ปีนี้ (ต้องจัดเลือกตั้งภายใน 45-60 วันหลังยุบสภา) และ
2) พรรคเพื่อไทย + พรรคประชาชน (โอกาส 40%) คาดรัฐบาลมีโอกาสทำงานราว 4 เดือน ก่อนยุบสภาปลายปี และเลือกตั้งภายในเดือนก.พ.
ผลกระทบต่อหุ้น หากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ตลาดอาจคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ และอาจเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้งในอดีต จากสถิติการเลือกตั้ง 10 ครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่เรียกว่า Pre-election rally โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 3% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศ เช่น ธนาคาร ค้าปลีก การเงิน และอาหาร ซึ่งมักได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในเชิงความถี่ แม้จะพบว่าเกิด Pre-election rally ถึง 6 ครั้งจาก 10 การเลือกตั้งล่าสุด แต่ในช่วง 5 ครั้งหลังกลับเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น โดยมักจะเกิดในบริบทที่การเมืองมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน สะท้อนว่าการเกิด rally ดังกล่าวขึ้นอยู่กับระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อทั้งภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางการเมือง
สำหรับการเลือกตั้งรอบนี้ โอกาสที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วง Pre-election rally ดูจะจำกัด เนื่องจากยังเผชิญปัจจัยความไม่แน่นอนหลายด้าน ทั้งในมิติกฎหมายที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของผู้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองหลักหลายพรรค และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ประเทศอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลเสียงข้างน้อยในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม
เรายังคงเป้าหมาย SET สิ้นปีไว้ที่ 1,280 จุด กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้น selective ในหุ้นที่มีความชัดเจนด้านปัจจัยพื้นฐานและมีลักษณะ defensive growth เช่น WHAUP ที่เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Data Center ในนิคมอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ขณะเดียวกันยังมีจุดเด่นด้านมูลค่าที่น่าสนใจ โดยมีค่า PER ปี 68 ราว 12.5x เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง GPSC ที่ 23x และ BGRIM ที่ 19x พร้อมให้ Dividend Yield ถึงราว 6%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 68)