นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า หากมีการเลือกนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลใหม่จะไม่ได้เข้ามาบริหารประเทศแบบจริงจัง แต่มาเพื่อเดินหน้ายุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าคิดว่า เป็นกระบวนการที่เลือกผู้นำประเทศ แต่ไม่ได้เพื่อบริหารประเทศ โดยในเฉพาะช่วงวิกฤตเช่นนี้
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงคิดว่าถ้าเลือกทางนี้ท้ายที่สุดจะถูกต้องหรือไม่ จึงคิดว่าเมื่อจะยุบสภาอยู่แล้ว ทางที่ดีที่สุด คือยุบไปตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ เพราะหากรัฐบาลที่เข้ามาจะกลายเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย ก็ควรยุบสภาฯ เสียเลย ซึ่งจากการพูดคุยก็คิดว่าเหมาะสม แต่อำนาจการตัดสินใจก็เป็นเรื่องของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
ปัญหาการยุบสภามีอยู่ 2 ประการ คือ
- ประการแรก มีอำนาจหรือไม่ในการเสนอ พ.ร.ฎ.ยุบสภา แม้จะมีความเห็นจากเลขาธิการ คณะกรรมการกฤษฎีกา เคยระบุว่าไม่มีอำนาจ แต่หลายความเห็นก็บอกว่ามีอำนาจ ซึ่งข้อสังเกตมีอยู่ว่าสถานการณ์ตอนที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่ทำหน้าที่ไม่ได้ ไม่เหมือนกับตอนนี้ แต่หากถามว่าขณะนี้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี คำตอบคือนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจเต็ม นี่คือข้อสังเกตในเรื่องอำนาจ
- ประการที่ 2 ที่มองว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่ จริงอยู่ที่เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่กฎหมายระบุไว้ว่าให้ตราการยุบสภาให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา คำถามคือใครเป็นผู้นำเสนอ และผู้ที่ต้องรับสนองพระราชโองการ คือผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องยุบสภา สุดแล้วแต่จะเป็นพระบรมราชวินิจฉัย เราก้าวล่วงไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะไปได้ จึงให้นายภูมิธรรม คิดดูว่าจะทำอย่างไร เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งนายภูมิธรรมก็มองว่าควรจะไปทางนี้เหมือนกัน
“มันไม่เหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้นายกรัฐมนตรีคือท่านภูมิธรรมมีอำนาจเต็ม ไม่ได้ไปก้าวล่วงอะไร เพราะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในพระราชกฤษฎีกาต้องระบุ ถึงเหตุผลในการยุบสภา สุดแต่พระบรมราชวินิจฉัยที่จะเห็นสมควรประการใด เป็นหลักธรรมดาทั่วไป” นายชูศักดิ์ กล่าว
หากประกาศยุบสภาแล้วมีผู้ไปร้องแล้วกระบวนการจะชะลอหรือไม่ รวมถึงหากมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญกระบวนการจะต้องหยุดชะงักหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว ก็ต้องรอว่าผลจะเป็นอย่างไร และระหว่างนี้รัฐบาลรักษาการก็ยังทำหน้าที่ต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ก.ย. 68)