
โรคอ้วนเป็นปัญหาทางสุขภาพที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นเหตุให้เกิดโรครุมเร้ามากมาย ได้แก่ เบาหวาน ไขมัน โรคทางด้านระบบประสาท โรคเส้นเลือดสมอง การนอนหลับผิดปกติ ความดันสูง โรคหัวใจ โรคปอด กรดไหลย้อน ภาวะมีลูกยาก ซีสต์ ไตผิดปกติ การกลั้นปัสสาวะอุจจาระผิดปกติ เส้นเลือดขอด ไขมันเกาะตับ ตับแข็ง นิ่ว มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
“สำหรับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกิน 25 ได้เวลาที่จะต้องดูแลสุขภาพร่างกายกันแล้ว” ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ ศัลยแพทย์โรคอ้วน และผู้อำนวยการศูนย์รักษ์พุง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าว
“การรักษาโรคอ้วนและการลดน้ำหนักเป็นไปได้ หากผู้ที่มีภาวะอ้วนได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์และทีมสหสาขาวิชา” ศ. นพ.สุเทพกล่าวให้ความมั่นใจ “ซึ่งที่ศูนย์รักษ์พุง เราเป็นต้นแบบเรื่องการดูแลรักษาภาวะโรคอ้วน มีทั้งองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และวิธีรักษาโรคอ้วนแบบครบวงจร รวมทุกภาคส่วนในการดูแลโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิกเข้ามาอยู่ด้วยกัน” ศูนย์รักษ์พุง
ศ. นพ.สุเทพ เผยว่า ศูนย์รักษ์พุงก่อตั้งขึ้นในปี 2550 ในแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ามารักษาโรคอ้วนโดยไม่ผ่าตัดแล้วราว 2,000 – 3,000 ราย และผู้ป่วยโรคอ้วนที่ได้รับการผ่าตัดประมาณ 120 – 150 ราย
ศูนย์รักษ์พุงเป็นแหล่งรวมของแพทย์สหสาขาวิชา เช่น ต่อมไร้ท่อ เพราะโรคอ้วนจำนวนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หมอผู้เชี่ยวชาญด้านปอด หมอหูคอจมูก และหมอระบบประสาทเพื่อดูแลเรื่องของการนอนหลับ หมอทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญทำให้เกิดโรคอ้วน หมอเชี่ยวชาญเรื่องทางเดินอาหารดูแลเรื่องการผ่าตัด จิตแพทย์ให้คำปรึกษาเรื่องสภาพจิตใจ หมอเด็กดูแลเด็กที่มีภาวะโรคอ้วน หมอศัลยกรรมตกแต่งดูแลรักษาเพื่อปรับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เข้าที่ สูตินารีแพทย์ดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีบุตรยาก มีซีสต์รังไข่ มะเร็งรังไข่ หมอทางด้านรังสีวิทยาดูแลเรื่องการตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี และหมอหัวใจดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางด้านหัวใจ
นอกจากนี้ยังมีบุคลากรอื่น ๆ เช่น นักกายภาพบำบัดดูแลฟื้นฟูผู้ป่วย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาดูแลเรื่องการออกกำลังกาย นักกำหนดอาหารดูแลเรื่องอาหาร รวมทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และ Patient Support Group กลุ่มของผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วนมาสร้างกำลังใจ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
ศ. นพ.สุเทพ เล่าถึงการเข้ามาใช้บริการที่ศูนย์รักษ์พุงว่า “เมื่อเข้ามารักษาที่ศูนย์รักษ์พุง เราจะให้ผู้ป่วยมารวมกลุ่มกันเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาโรคอ้วนก่อน หลังจากนั้นก็จะเป็นการตรวจเฉพาะบุคคล เป็น one stop service ให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวก ได้รับความเป็นส่วนตัว และก็มีความเป็นส่วนกลางเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ สหสาขาวิชารวมถึงครอบครัว ผู้ป่วยต้องพาครอบครัวมาด้วย เพราะเมื่อกลับไปที่บ้านต้องมีคนช่วยดูแลและให้กำลังใจ”
ศ. นพ.สุเทพ อธิบายแนวทางการรักษาโรคอ้วนสำหรับผู้ที่มีค่า BMI 25 ขึ้นไป ดังนี้
ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9
ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9 จัดว่าเป็นกลุ่มน้ำหนักเกินเกณฑ์ เข้าขั้นท้วม กลุ่มนี้เริ่มมีโรครุมเร้าและต้องเริ่มดูแลตัวเองให้มากขึ้น หลักสำคัญในการดูแลตัวเองเน้นเรื่องการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งทางศูนย์ฯ มีนักกำหนดอาหารมาช่วยดูแลและมี group treatment เข้ามาช่วยกันชักชวนกันดูแลสุขภาพ
ถ้าค่า BMI = 27.5 – 29.9 อาจเพิ่มตัวช่วย เช่น ยา ซึ่งโดยมากเป็นยาบล็อกไม่ให้ร่างกายดูดกลืนไขมัน ยาฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มหรือเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ยาฉีดไม่ว่าจะเป็นวันละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง เพื่อช่วยปรับและเปลี่ยนสารคัดหลั่งในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็ว เผาผลาญอาหารได้มากขึ้น แก้ไขความผิดปกติต่าง ๆ ทำให้น้ำหนักลดลงกว่าเดิมที่ไม่ได้รับยา ทั้งนี้ การได้รับยาต่าง ๆ นั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5
ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5 เรียกว่าภาวะอ้วน มีความเสี่ยงจากโรคอ้วนสูงมากโดยเฉพาะโรคทางเมตาบอลิก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาไม่ว่าจะเป็นยาหรือทำการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น ส่องกล้องผ่าตัดปรับทางเดินอาหาร
ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5
ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5 และมีโรครุมเร้าต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหารเพื่อให้ฮอร์โมนร่างกายได้ปรับใหม่ ให้เมตาบอลิซึมของร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ความหิวลดน้อยลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาดูแลตัวเองให้ออกจากภาวะโรคอ้วน และโรครุมเร้าต่าง ๆ หายไป
แนวทางการรักษา
ยาลดความอ้วนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อบ่งชี้และข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป

ศ. นพ.สุเทพ ย้ำเรื่องการใช้ยาลดความอ้วนว่า “ถ้าจะใช้ยา แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม และต้องมีการติดตามผลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เพราะยาบางตัวอาจมีผลต่อตับ ไต จิตใจและอารมณ์”
แนวโน้มภาวะโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นแรงผลักดันให้ศูนย์รักษ์พุงเดินหน้าศึกษานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงของการรักษา

“การใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหารเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคอ้วน ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้จะลดน้ำหนักได้ 10-15% ของน้ำหนักตัว ซึ่งก็เพียงพอที่จะให้โรคต่าง ๆ หายไป แต่จะมีอาการจุกแน่นหลังจากที่ใส่บอลลูน 1 – 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงต้องมีความเข้าใจและติดตามดูแลอาการต่อเนื่อง” ศ. นพ.สุเทพ ยกตัวอย่าง
“สำหรับเรื่องยา เรามีการพัฒนาความรู้เรื่องยาอยู่เรื่อย ๆ ยาในปัจจุบันที่ได้ผลดีที่สุดใกล้เคียงการผ่าตัด เมื่อมีหลายเทคโนโลยีมารวมกันทำให้เรารักษาผู้ป่วยได้ทุกบริบท เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน การผ่าตัดเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับผู้ที่รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล”
แม้ว่า ศูนย์รักษ์พุงจะมีแนวทางการรักษาที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ แต่ที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาโรคอ้วน คือ การป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะอ้วน
“ผมอยากให้ทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ เช็กสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก ถ้าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ 18.5 – 24.9 คือกลุ่มที่ดูแลสุขภาพได้ดี ก็ให้ปฏิบัติดูแลต่อไป คนที่น้ำหนักเกิน 25- 29.9 ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเต็มรูปแบบ ออกกำลังกายด้วยการเดิน ขึ้นบันได เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ได้ แต่ถ้าคนไหนพร้อมและออกกำลังกายอย่างเป็นจริงจังก็เป็นเรื่องดี”
“สำหรับกลุ่มที่ดัชนีมวลกายถึงเกณฑ์ว่าต้องได้รับการดูแลทางแพทย์คือ 30-32.5 และมากกว่า 32.5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด มาปรึกษาที่ศูนย์รักษ์พุงได้”
สุดท้ายแล้ว ยาและการรักษาภาวะอ้วนที่ดีที่สุดคือความเข้าใจและกำลังใจจากสมาชิกในครอบครัว คนใกล้ชิด และสังคม ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.ย. 68)