SKIN เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.20 บาท เปิดจองซื้อ 15-17 ก.ย. เข้าเทรด mai ก.ย.

บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ [SKIN] เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน (IPO) จำนวน 44,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.20 บาท มูลค่าการเสนอขาย 52.80 ล้านบาท ระยะเวลาจองซื้อตั้งแต่วันที่ 15-17 กันยายน 2568 และจะเข้าซื้อขายในตลาด mai กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในเดือนก.ย.68 ใช้ช่อย่อในการซื้อขายคือ SKIN โดยบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นปรึกษาทางการเงิน และ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน SKIN กล่าวว่า SKIN ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ได้แก่ บล.ไอร่า บล.บียอนด์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์ เนชั่นแนล (ประเทศไทย) และบล.ลิเบอเรเตอร์

นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า การกำหนดราคาไอพีโอเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน คาดว่า SKIN จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอีกมาก จากกระแสตลาดความงามในประเทศที่กำลังเป็นที่นิยม รวมถึงมีความพร้อมในการขยายธุรกิจและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในอนาคต

นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN กล่าวว่า SKIN ประกอบธุรกิจคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยคิดค้น และพัฒนาสูตรร่วมกับโรงงานผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐานการรับรองคุณภาพภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ Skinsista (สกินซิสต้า) และแบรนด์เวชสำอาง Dermie (เดอร์มี่) ซึ่งในปี 2568 ทั้ง 2 แบรนด์ โดยตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีสินค้าออกใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 SKUs

โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคได้แก่ เซรั่มบำรุงผิว ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด รวมไปถึงแป้งผสมรองพื้นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถหาซื้อได้ในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ทั้ง Convenience Store และ Specialty Store อาทิ Watsons, CJ MORE NINE BEAUTY, 7-11, Beautrium , Konvy เป็นต้น และช่องทาง Online อาทิ Shopee, Lazada และ Tiktok shop

ภายหลังการระดมทุนบริษัทมีแผนนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว โดยแบ่งเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม วิจัย-พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องสำอาง เวชสำอางบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด

นอกจากนี้ยังจะนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ Skinsista และ Dermie ด้วยงบประมาณสำหรับขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ รวมถึงตลาดต่างประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยเงินทุนที่ระดมทุนได้ 52.80 ล้านบาท บริษัทฯจะนำไปใช้ในช่วงปี 68-70 ดังนี้

1.เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม และ/หรือการคิดค้น วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องสำอางหรือเวชสำอางบำรุงผิวหน้าหรือผิวพรรณ หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์และเพิ่มยอดขาย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโอกาสทางธุรกิจและความเหมาะสมในการลงทุนในอนาคต

2.ใช้เป็นค่าใช้จ่ายการตลาดและการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ทั้งแบรนด์หลักปัจจุบันคือ Skinsista และแบรนด์ที่จะมุ่งเน้นทำ การตลาดเพิ่มเติม คือ Dermie

3.ใช้เป็นค่าใช้จ่ายการตลาดและการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการรับรู้แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท ผ่านการลงทุนให้ครอบคลุมช่องทางการจำ หน่ายหลัก (Market Landscape)

4.ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ เช่น การขยายช่องทางการจำหน่ายและฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทที่เสนอขายในครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: PER) ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เสนอขายหุ้นละ 1.20 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 12 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งมีกำไรสุทธิของบริษัท เท่ากับ 15.05 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 144.00 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share:EPS) ของบริษัท เท่ากับ 0.10 บาทต่อหุ้น

โดยสัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period มีจำนวน 20,800,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 14.44 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

แต่ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัททั้งผู้ถือหุ้นที่เป็น “ผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหาร” และ “ผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร” ได้ตกลงและยินยอมโดยความสมัครใจที่จะไม่ขายหุ้นที่ตนถืออยู่เพิ่มเติมจากเกณฑ์ Silent Period ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเรียกว่า “ระยะเวลาสมัครใจไม่ขายหุ้น” (Voluntary Share Lockup) จำนวน 20,800,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 14.44% ของทุนชำระแล้ว ภายหลังการเสอนขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ เป็นระยะเวลา 3 เดือนนับแต่วันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

บริษัทได้กำหนดนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังจากหักเงินสำ รองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำ หนดไว้ในข้อบังคับบริษัท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 68)