ส.อ.ท. ยื่น 5 ข้อเสนอใส่มือนายกฯ เร่งอุ้ม SMEs เข้าถึงเงินทุน-แก้ปัญหาทุ่มตลาด ขอดูแลค่าเงิน 34-35 บาท

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วน ให้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมว่าที่รัฐมนตรี “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ประกอบด้วย

  1. การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า
  2. การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs
  3. การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
  4. การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
  5. การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

นายเกรียงไกร กล่าวภายหลังการหารือว่า ในการหารือวันนี้ได้สะท้อนในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ยังต้องดำเนินการต่อ ในรายละเอียดเรื่อง Local Content ที่ต้องพูดคุยกับทางสหรัฐฯ ว่าจะใช้มาตรฐานใด และอุตสาหกรรมใดที่ทำได้ และอุตสาหกรรมใดที่ทำไม่ได้ จะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร

อย่างไรก็ดี ไทยได้รับปัญหามากเกี่ยวกับการหลั่งไหลของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาด ซึ่งเข้ามาในไทยมากที่สุด และส่งผลกระทบกับเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจาก 24 กลุ่ม เป็น 30 กลุ่ม แต่เชื่อว่า เรื่องนี้นายกฯ จะเข้าใจในฐานะที่เป็นนักธุรกิจ ซึ่งเข้าใจปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัจจุบันเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด และมีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงอยากให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เช่น แฮร์คัท การขยายวงเงินให้เอสเอ็มอีมากขึ้นหรือไม่ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้เร็ว รวมถึงหน่วยงานเอสเอ็มอีจะต้องบูรณาการให้ทุน หรือสนับสนุนทุน ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบกับเอสเอ็มอีได้ค่อนข้างมาก

โดย ส.อ.ท. นำเสนอแนวทางส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน ภายใต้ “มาตรการ Fast Track เพื่อ SME” ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน (Emergency Credit Guarantee) ที่อนุมัติได้ภายใน 3-7 วัน โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าธรรมเนียมช่วงแรก และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสูงกว่าปกติ เช่น 80-100% เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อทันทีให้ SME ที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยให้ธนาคารรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับสินเชื่อวงเงิน 5-10 ล้านบาท รวมทั้งสำหรับ SME ที่อยู่ในระบบภาษี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเติมสภาพคล่องระยะสั้นให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และลดความเสี่ยงที่จะลุกลามเป็น NPL

นายเกรียงไกร กล่าวว่า วันนี้หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพี ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่กดทับกำลังซื้อ ส่วนปัญหาเรื่องการค้าชายแดน ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนภาคอุตสาหกรรม และวันนี้มีการแก้ไขปัญหากันเอง แต่ต้นทุนสูง ซึ่งส.อ.ท. เข้าใจว่าเรื่องสำคัญของประเทศ คือเรื่องอธิปไตย ความมั่นคง การเจรจาให้ถูกต้อง เราคงไม่ได้กดดันอะไร แต่จะมีมาตรการอะไรเข้ามาช่วยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในระหว่างการเจรจาได้บ้าง

ส่วนเรื่องของโครงการต่าง ๆ ที่เวลานี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง สร้างพายุหมุนจริง คือ Made in Thailand เนื่องจากปัจจุบันหลายประเทศใช้นโยบายกีดกันทางการค้า ช่วยคนในประเทศเป็นหลัก บางประเทศมีเงินภาครัฐสนับสนุนการส่งออก ดังนั้น วันนี้สิ่งที่ไทยจะต้องทำ คือ การจัดซื้อจัดจ้างด้วย Made in Thailand ซึ่งเรื่องนี้อยากให้รัฐบาลเร่งผลักดันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอย่าเน้นที่ถูกสุด เพราะหากเน้นที่ถูกสุด ภาคเอกชนไทยอาจแข่งขันไม่ได้ ขณะเดียวกัน ภาครัฐจะได้สินค้าถูกแต่คุณภาพไม่ดี และเงินก็จะไหลออกไปยังต่างประเทศ

ทั้งนี้ ส.อ.ท.ยังได้หารือเรื่องการลดต้นทุนพลังงานให้กับผู้ประกอบการและประชาชน ซึ่งวันนี้ผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนราคาพลังงานที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะต้องลดราคาพลังงานลงให้ได้ เพื่อให้เอกชนสามารถแข่งขันได้ โดยได้เน้นย้ำให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยราคาที่เป็นธรรม และมีความมั่นคงด้านพลังงาน

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

นายเกรียงไกร กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันค่าเงินบาทไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันค่าเงินควรจะอ่อนค่า แต่กลับแข็งค่า ต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเห็นว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมในฐานะผู้ส่งออก อยากให้เงินบาทอ่อนค่ามาก ๆ แต่หากจะให้เหมาะสม ควรที่จะสมดุลกับการนำเข้าด้วย จึงอยากเห็นเงินบาทอยู่ที่ 34-35 บาท เพราะเป็นอัตราที่อยู่ในช่วงบาลานซ์กันระหว่างส่งออกและนำเข้า แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูประเทศเพื่อนบ้านด้วย

ส่วนผลกระทบการปิดด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้มีการตรวจสอบภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ปรากฏว่า การส่งออกที่มากเป็นอันดับ 3 มีการส่งออกทองคำแท่งไปยังกัมพูชาที่มีสัดส่วนที่สูงมากผิดปกติ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องการส่งออกทองคำอาจเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ

โดยวันนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เชิญผู้ค้าทองคำมาพบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และวันนี้หากแก้ไขไม่ตรงจุด จะเหนื่อยและไม่ได้ผล แต่หากรู้ปัญหาแก้ได้ตรงจุด ตนเชื่อว่า จะสามารถแก้ได้ ซึ่งส.อ.ท. พร้อมจะร่วมทำงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.ย. 68)