
บริษัท เสียวหมี่ คอร์ป (Xiaomi Corp.) เตรียมเปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ภายในเดือนนี้ พร้อมปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เพื่อแข่งขันโดยตรงกับบริษัท แอปเปิ้ล อิงค์ (Apple Inc.) ในการชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม
เสียวหมี่ได้เลื่อนกำหนดการเปิดตัวให้เร็วขึ้นจากปกติ และข้ามจากรุ่น Xiaomi 15 ไปเป็น Xiaomi 17 เพื่อให้ชื่อรุ่นสอดคล้องกับ iPhone 17 ของแอปเปิ้ล โดยเตรียมเปิดตัวรุ่นใหม่อย่าง Xiaomi 17 Pro และ 17 Pro Max
เหลย จวิน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ กล่าวในวันนี้ (15 ก.ย.) ว่า บริษัทเสียวหมี่ต้องการเทียบชั้นกับสมาร์ตโฟนของแอปเปิ้ล ซึ่งได้รับการยอมรับมานานว่าเป็นผู้กำหนดมาตรฐานในตลาดระดับบน
iPhone 17 ของแอปเปิ้ลจะวางจำหน่ายทั่วโลกในวันศุกร์นี้ (19 ก.ย.) โดยรุ่น Pro จะมาพร้อมดีไซน์ที่ปรับปรุงใหม่ ข้อมูลจาก Counterpoint Research ระบุว่า บริษัทแอปเปิ้ลครองส่วนแบ่งยอดขาย 62% ในกลุ่มสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม (ราคาตั้งแต่ 600 ดอลลาร์ขึ้นไป) ขณะที่เสียวหมี่มีส่วนแบ่งในตลาดนี้เพียงเล็กน้อยในระดับโลก แต่ยอดขายในกลุ่มนี้ก็เติบโตขึ้น 55% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และมีโอกาสที่ดีกว่าในการแข่งขันในจีน อันเป็นประเทศที่ iPhone Air ของแอปเปิ้ลเปิดตัวล่าช้า
“เราเริ่มกลยุทธ์การทำตลาดพรีเมียมเมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อเรียนรู้จากคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา โดยใช้ iPhone เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบ” หลู เหว่ยปิง ประธานของเสียวหมี่ โพสต์ผ่านเวยป๋อ (Weibo) “แอปเปิ้ลยังคงยอดเยี่ยม แต่เรามั่นใจอย่างยิ่งว่าเราสามารถเผชิญกับความท้าทายนี้ได้ด้วยผลิตภัณฑ์ในรุ่นเดียวกัน”
เสียวหมี่ ซึ่งเป็นที่รู้จักมานานในเรื่องความคุ้มค่าของสินค้าที่ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่สมาร์ตโฟน แล็ปท็อป เครื่องใช้ในครัว ไปจนถึงกระเป๋าเดินทาง ได้อาจหาญรุกเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเริ่มเห็นผลในช่วงปีที่ผ่านมา โดยทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อขายในฮ่องกงของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า การที่เสียวหมี่ประสบความสำเร็จในตลาดเกิดใหม่ที่แอปเปิ้ลได้ละทิ้งไป ดูเหมือนจะทำให้บริษัทมีความกล้ามากขึ้นที่จะท้าชนผู้นำตลาดสมาร์ตโฟนจากสหรัฐฯ
“การข้ามไปใช้ซีรีส์ 17 ฟังดูเหมือนว่าเสียวหมี่มั่นใจพอที่จะบอกว่าตัวเองทำได้ดีเทียบเท่าแอปเปิ้ล ซึ่งยังคงได้รับการยอมรับอย่างสูงในประเทศจีน” ไบรอัน หม่า นักวิเคราะห์จาก IDC กล่าว “10% ของสมาร์ตโฟนที่เสียวหมี่จัดส่งในจีน มีราคาสูงกว่า 600 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยแทบจะเป็นศูนย์ในปี 2562”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.ย. 68)