CPFTH เล็งออกหุ้นกู้ 2 รุ่น อายุ 6 ปี และ 12 ปี คาดเปิดขายสถาบัน-รายใหญ่ 17-21 ต.ค.

บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CPFTH เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน

และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 6 ปี อัตราดอกเบี้ย [2.14-2.54]% ต่อปี และ หุ้นกู้อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ย [2.85- 3.25]% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 17 และ 20-21 ตุลาคม 2568 ผ่าน 9 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารยูโอบี บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) บล.เอเซีย พลัส และ บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง

ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้มั่นใจว่า หุ้นกู้ CPFTH ที่เสนอขายในครั้งนี้เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่กำลังมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาวและคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยกิจการที่มีความมั่นคง น่าเชื่อถือและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งหุ้นกู้ CPFTH ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ CPFTH และการเป็นบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่ม CPF นอกจากนี้ ด้วยธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้หุ้นกู้ CPFTH เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับผู้ลงทุน

CPFTH เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรในประเทศไทยประเภทสัตว์บก ได้แก่ สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ และเป็ด ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเพาะพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงสัตว์ การแปรรูปขั้นพื้นฐาน การผลิตอาหารและอาหารพร้อมรับประทาน

โดยมุ่งเน้นเสนอผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ด้วยกระบวนการผลิตที่ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล

พร้อมกับการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผลการดำเนินงานของ CPFTH ในงวดปี 2567 มีรายได้จากการขาย จำนวน 156,693 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในส่วนของบริษัท จำนวน 5,966 ล้านบาท พลิกฟื้นจากที่ขาดทุนในปี 2566 จากความสมดุลของปริมาณเนื้อสัตว์ในตลาดจากภาวะสินค้าล้นตลาดในปี 2566 ประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ที่ลดลงจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์และการจัดหาวัตถุดิบที่ดีขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)