SINO เปิดตัวโมเดลใหม่ในเวียดนาม-อินโด พร้อมบุก Air Freight เต็มสูบดันรายได้พุ่ง ซุ่มดีล M&A-JV

นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น [SINO] เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลังยังเติบโตต่อเนื่อง โดยธุรกิจบริการ Sea Freight (ขนส่งสินค้าทางทะเล) เข้าสู่ช่วง Peak Season ประกอบกับการขยายธุรกิจ Air Freight ผ่านการเข้าถือหุ้น บริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด (A.S. Logistics) ซึ่งจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/68 เป็นต้นไป

บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 68 ที่ 4,300 ล้านบาท เติบโตจากปี 67 ที่ 3,701.31 ล้านบาท พร้อมรักษาระดับอัตรากำไรที่ 14-15% โดยยังคงมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) รวมทั้งการร่วมทุนกับพันธมิตร (JV) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา 2 ราย เป็นธุรกิจเกี่ยวกับขนส่งทางเรือและ Logistics Support ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจน 1 ดีลในปี 69

สำหรับภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือช่วงครึ่งปีแรก ปริมาณการขนส่งอยู่ที่ 22,805 ตู้ ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ทำให้การขนส่งสินค้าชะลอตัวเล็กน้อยราว 1-2 เดือนช่วงต้นปี แต่มองว่าปริมาณจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเริ่มเห็นสัญญาณดีมานด์กลับมาในไตรมาส 3/68 รวมทั้งจะเข้าสู่ช่วง High Season หนุนดีมานด์ในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณขนส่งจะขยับใกล้เคียงเป้า 49,000 ตู้ในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน พร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้นำขนส่งระหว่างประเทศครบวงจรระดับภูมิภาค โดยหลังจากการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์มาเลเซียในปี 67 เพื่อสนับสนุนแผนการเพิ่มปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 800 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลัง จากเฉลี่ย 700 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีแรก และในเวียดนามได้เริ่มจัดตั้งบริษัทและสำนักงานเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ย 250 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลัง โดยมองว่าเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูงและอาจหนุนให้ปริมาณขนส่งปีนี้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ และในอนาคตปริมาณขนส่งในเวียดนามอาจขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของการขนส่งในภูมิภาครองจากไทย

นอกจากนี้จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนและสำนักงานที่อินโดนีเซีย คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 1/69 สำหรับในกัมพูชาได้ชะลอการขนส่งทางบก (Cross Border) แต่ยังสามารถขนส่งทางเรือได้ และยังเป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวที่ยังสามารถส่งสินค้าได้ในปัจจุบัน ประกอบกับการเปิดออฟฟิศในกัมพูชาในอนาคตจะช่วยสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางธุรกิจในอาเซียนไปยังสหรัฐเช่นกัน

ทั้งนี้ ครึ่งปีแรกสัดส่วนการขนส่งในภูมิภาคเพิ่มเป็น 28.4% จากปี 67 ที่มีสัดส่วน 18.9% ขณะเดียวกันบริษัทก็เริ่มขยายไปยังตลาดยุโรปเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐ แต่ในอนาคตตลาดสหรัฐยังเป็นตลาดหลัก โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนสหรัฐอยู่ที่ 60% เอเชีย 30% ยุโรป 10-20%

สำหรับธุรกิจ Air Freight คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้บริษัท เอสเอ็นซี คาร์โก้ เซอร์วิสเซส จำกัด (SNC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SINO เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด (A.S. Logistics) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจบริการ Air Freight Forwarder โดยใช้งบลงทุน 35 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจและทำให้ SINO มีต้นทุนการบริการ Air Freight ลดลง โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จาก เอ.เอส. โลจิสติคส์ ตั้งแต่เดือน ก.ย.68

ขณะเดียวกัน จะยกระดับธุรกิจของ SNC ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน หรือ Cargo General Sales Agent (GSA) เพื่อขายระวางสินค้าแก่ Freight Forwarder โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 69 กลุ่มธุรกิจ Air Freight จะทำรายได้กว่า 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของรายได้จากการบริการรวม และจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 5% ของรายได้จากการบริการรวมใน 3-5 ปีข้างหน้า

นายสิทธิกร ทับเที่ยง ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ เอ.เอส. โลจิสติคส์ กล่าวว่า บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจบริการ Air Freight Forwarder กว่า 38 ปี โดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินกว่า 5 สายการบิน ครอบคลุมเส้นทางในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 80 ราย ขณะที่การเข้ามาถือหุ้นของ SINO จะเพิ่มศักยภาพขยายธุรกิจและฐานลูกค้า

ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศปี 68-69 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของธุรกิจการบินและการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่งผลดีต่อพื้นที่ระวางสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น โดยบริษัทจะเพิ่มทีมงานฝ่ายขายเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำโรดโชว์ให้ข้อมูลกับสายการบินต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนจาก SINO คาดว่าจะทำให้มีรายได้ 100 ล้านบาทในปี 68 และเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาทในปี 69

ขณะที่ธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ SINO เตรียมเปิดบริการคลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) พื้นที่เกือบ 6,000 ตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในเดือน ต.ค.68 ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่เป็นกว่า 33,000 ตารางเมตร และวางแผนลงทุนคลังสินค้าปลอดอากรแห่งใหม่ในจ.สมุทรปราการ เพื่อกระจายทำเลและขยายพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็น 50,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้ชื่อโครงการ VOYA ประกอบด้วย 1) การพัฒนาและติดตั้งระบบ Freight Cloud System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วแม่นยำของการบริหารกระบวนการขนส่งสินค้า รวมถึงติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ และ 2) ติดตั้งระบบ SAP S4/HANA ซึ่งเป็นระบบ ERP อันดับหนึ่งของโลก เพื่อบริหารงานบัญชีและการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพด้านความถูกต้อง โปร่งใส และการตรวจสอบที่เป็นระบบ

สำหรับการบริหารจัดการเรื่องค่าเงินเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทประมาณการรายรับที่จะได้รับจากต่างประเทศล่วงหน้า 1-2 เดือน และซื้อเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้าไว้ 30% ของเงินที่จะเข้า และซื้อเพิ่มเติมส่วนที่เหลือเมื่อค่าเงินอ่อนค่าในระดับที่กำหนดไว้เพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุดหรือมีกำไร ซึ่งทำให้ในปีนี้บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)